โบราณเคยบอก "พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย"
หลายคนมาแผลงเป็น "พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะมีสี"
จะยึดคำกล่าวไหนก็ได้ค่ะ เพราะหัวใจสำคัญอยู่ที่การ "พูดให้ดี"
ทำไมต้องพูดให้ดี...
เพราะการพูดให้ดีนั้น ฟังแล้ว "เข้าหู" ชวนฟัง ชวนให้คล้อยตาม
ชวนให้รู้สึกประทับใจและก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ ตามมาได้อีกมากมาย
การพูดเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตค่ะ เพราะตลอดทั้งชีวิต เราต้องอาศัยการพูดเป็นการสื่อสารที่สำคัญ
พูดไม่เป็น
พูดไม่เข้าหูคน
หรือพูดแล้วคนอยากพาไป"ผ่า...ออกจากปาก" อย่างที่เขาล้อ ๆ กันนั้น
ท่าทางชีวิตจะย่ำแย่ ดังนั้น มาเรียนรู้การพูดการจาให้เป็นสง่าราศีแก่ชีวิตดีกว่าค่ะ
1. คนจะพูดดีได้ ต้องเริ่มจากคิดดี
ไม่มีประโยชน์ ที่เราจะเริ่มต้นจากการคิดร้าย
แม้กับคนที่เราไม่ถูกชะตาด้วยที่สุด ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องพูดจาไม่ดีกับเขา
การคิดดี ถือเป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ เป็นพื้นฐานของจิตใจที่ดีงาม
ใครก็ตามที่รู้จักคิดดี เขาก็จะเห็นแง่งามของโลกของชีวิต ของตนเอง และของผู้อื่น
เมื่อเห็นแง่งาม หรือแง่ดีของสิ่งต่าง ๆ เขาก็ย่อมมีทัศนคติที่ดี
มีท่าทีที่ดี และเมื่อต้องพูดจากเสวนากัน เขาก็ย่อมพูดจาดี
การพูดจาดี
ไม่เพียงแต่สะท้อนการให้เกียรติ และเคารพในตัวคนอื่น
แต่ยังสะท้อนการให้เกียรติและเคารพตนเองอีกด้วย
คนจะพูดจาดีได้ต้องรับการอบรมมาดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี
ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่า บุคลิกภาพดี ๆ เริ่มต้นที่ครอบครัว การพูดจาดีก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องเริ่มจากในบ้าน
พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างของคนที่พูดจาดี ๆ ต่อกัน ต้องเป็นผู้ชี้แนะคุณค่าของการพูดดี
พูดดี ในที่นี้หมายความว่า อะไร
หมายความว่า
พูดเพราะ
พูดคำสุภาพ
มีน้ำเสียงที่สุภาพ
มีหางเสียงครับ ค่ะ จ๊ะ จ้ะ
เพื่อแสดงความมีมารยาท
มีไมตรีจิต
ไม่พูดคำหยาบ
ไม่ใส่ร้าย
ไม่ตะคอกตะเบ็งใส่กัน
ไม่ประชดประชัน
ไม่โกหกพกลม
คนจะพูดดีเช่นนี้ได้ จะคิดร้ายอยู่ในใจไม่ได้แน่นอน
เพราะความร้ายกาจในใจจะเผยมาทางคำพูด น้ำเสียง แววตา หรือท่าทีขณะที่พูดได้
จึงจำเป็นต้องฝึกตนให้เป็นคน คิดดี
2. พูดถูกกาลเทศะ
ไม่ใช่ตลอดเวลาหรอกค่ะ ที่คนเราจะพูดได้ ต้องมีบ้างบางขณะที่เราหยุดพูด เพื่อเป็นผู้ฟังคนอื่นพูดบ้าง
คนบางคน ถูกตั้งข้อสังเกตว่า "ผีเจาะปากมาพูด" คือ พูด ๆๆๆๆ ฟังไม่เป็น ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นพูด
ทำตัวเป็นผู้รู้ไปหมดทุกเรื่อง จึงพูดอยู่ตลอดเวลาคนแบบนี้น่ารำคาญ จริงไหมคะ
อย่าทำตัวน่ารำคาญ ด้วยการพูดจาไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ดูวาระ และโอกาส
คนพูดเป็นจะรู้ว่าโอกาสไหน ควรพูด โอกาสไหนควรฟัง
และโอกาสไหน ควรวางเฉย
คนที่รู้จักพูดเขาจะดูสถานที่ และเลือกวิธีพูดจาให้เหมาะสมกับผู้ฟัง และสถานที่
ผู้ฟังที่อาวุโสกว่าเรา เราต้องพูดด้วยท่าที และน้ำเสียงอย่างหนึ่ง
เป็นเพื่อนกัน ก็พูดอย่างหนึ่ง
เป็นน้องเป็นนุ่งเรา ก็ต้องพูดอีกแบบหนึ่ง
พูดในที่ประชุม จะเหมือนพูดในกลุ่มเพื่อนไม่ได้
พูดคุยกับเพื่อน ก็อย่าทำตัวน่าเบื่อ เหมือนบรรยายวิชาการ
การปรับตัว หรือพลิกแพลงตามสถานการณ์ที่ต่างกันไปเหล่านี้ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้
หลักการพูดให้ถูกกาลเทศะทำได้ง่าย ๆ คือ
ดูว่าเราต้องพูดในหัวข้อไหน
เรื่องอะไร
พูดที่ไหน
ใครฟัง
ผู้ฟังกี่คน
ฟังกันในที่เปิดเผยหรือในห้องจำกัด
พูดสั้น หรือพูดยาว
จริงจัง หรือกันเอง
ใครอ่านสถานการณ์ออก เตรียมตัวพร้อม ก็สามารถพูดจาได้น่าจดจำตามวาระ และโอกาสนั้น ๆ ได้เสมอ
3. พูดมีเนื้อหาสาระ
ห้ามพูดเรื่อยเปื่อย ไม่ว่าจะคุยกันกับเพื่อน ผู้ร่วมงานพ่อแม่ หรือพูดในที่ประชุม หรือที่สาธารณะ
ก็ต้องมีเป้าหมายในการพูด พูดอย่างมีสาระ
มีขอบเขตชัดเจนว่า ต้องการสื่อสารเรื่องอะไร หรือต้องการจะบอกกับผู้ฟังว่าอะไร
4. พูดจาให้น่าฟัง
น้ำเสียงที่กังวานแจ่มใส ดังพอประมาณ พูดจาฉะฉานชัดเจน จะดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังได้มาก
การพูด ในบางครั้งต้องพูดปากเปล่า แต่บ่อยครั้งก็ต้องพูดผ่านไมโครโฟน
หากมีโอกาส ให้ฝึกฝนเรื่องการใช้เสียงอย่างเหมาะสม ทั้งแบบปากเปล่า และผ่านไมโครโฟนได้
ก็ควรทำ เพราะการพูดผ่านไมโครโฟนนั้น ต้องมีระยะใกล้ไกลระหว่างปากกับไมโครโฟนที่พอเหมาะ
เสียงจึงจะชัดเจน ไม่มีเสียงเสียดแทรก จนผู้ฟังรู้สึกไม่สบายหู หรือรำคาญ
5. พูดให้เกิดความรู้สึกร่วม
วิธีการง่าย ๆ คือ
สบตากับผู้ฟังอย่างทั่วถึง ตั้งคำถามในขณะพูด แล้วค่อย ๆ อธิบายเพื่อนำไปสู่คำตอบ
สอบถามผู้ฟังบ้าง ในบางหัวข้อที่ง่าย ๆ หรือเป็นเรื่องของประสบการณ์
เป็นเรื่องของความคิดเห็น ที่ไม่ใช่เรื่องซึ่งเมื่อตอบแล้ว อาจถูก หรือผิด
ผู้พูด จำเป็นต้องรู้พื้นภูมิของผู้ฟังบ้าง
เพื่อพูดในภาษาที่เขาเข้าใจง่าย บางครั้งการพูดด้วยสำเนียงท้องถิ่นก็ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดี รู้สึกเป็นกันเอง
อย่าพูดไทยผสมกับภาษาต่างประเทศ โดยไม่อธิบาย เลือกใช้ภาษาต่างประเทศเท่าที่จำเป็น เท่านั้น
และยกตัวอย่างที่คาดว่าผู้ฟังน่าจะมีประสบการณ์ร่วม อย่ายกตัวอย่างไกลตัว
การพูดเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนเรา
เป็นภาพฟ้องอุปนิสัยใจคอ จึงไม่อาจพูดจาเรื่อยเปื่อย ไร้จุดหมาย ไร้การระมัดระวังได้
การพูด นำมาซึ่งมิตรและศัตรู
แต่ก็นั่นแหละ เราเลือกได้นี่คะว่าจะพูดให้ได้เพื่อน หรือพูดให้ได้ศัตรู
การพูดทำให้คนเราดูดี หรือดูแย่ได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราเลือกอะไร
ที่มา เครือข่ายสุขภาพเพื่อประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554
5 ประโยคที่ดีที่สุดในการเริ่มการสนทนาเมื่อเข้าสังคม
การพยายามแนะนำตัวเองต่อคนแปลกหน้าอาจเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก ก็ถ้าคุณไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลย
แล้วคุณจะหาเรื่องอะไรมาคุย? คุณจะเริ่มการสนทนาอย่างน่าสนใจกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้อย่างไร?
การพยายามแนะนำตัวเองต่อคนแปลกหน้า อาจเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก
ก็ถ้าคุณไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลย แล้วคุณจะหาเรื่องอะไรมาคุย?
คุณจะเริ่มการสนทนาอย่างน่าสนใจกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้อย่างไร?
ประโยคต่อไปนี้คือ “ประโยคที่ดีที่สุดที่คุณสามารถนำไปใช้ได้
หาสิ่งที่คุณและเขามีร่วมกัน
ถึงแม้คุณจะคิดว่าคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนนั้นเลย แต่จริงๆ แล้วคุณรู้มากกว่าที่คุณคิด
ก็คุณและเขาอยู่ในห้องเดียวกันนี่หนึ่งละ
ดังนั้น คุณสามารถถามเขาได้ว่า “So what brings you here?”
หรือสมมุติว่า คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้ของ Bob เพื่อนคุณ
คุณสามารถถามคนๆ นั้นว่า “How do you know Bob?”
ชมเขา
คนเราทุกคนต่างก็พอใจที่จะได้ยินสิ่งดีๆ เกี่ยวกับตัวเองทั้งนั้น
“What a wonderful dress you’re wearing!”
หรือบอกเขาว่า คุณชอบรองเท้าของเธอ หรือแว่นตาของเขามาก เป็นต้น
หลังจากนั้น ถ้าคู่สนทนาของคุณไม่กล่าวอะไรต่อมากไปกว่าคำว่า “thank you,”
คุณสามารถถามต่อไปว่า “Where did you get it?” หรือ “What’s it made out of?”
หรือแม้แต่ “Was it expensive?”
คำถามเหล่านี้ ดีตรงที่มันเป็นการเปิดโอกาสให้คนๆ นั้น บอกเล่าสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเองให้คุณฟัง
ถามคำถามเกี่ยวกับเขา
คนส่วนใหญ่ต่างก็มีการมีงานทำกันทั้งนั้น ฉะนั้นคุณสามารถถามเขาว่า “So what do you do for a living?”
หรือคุณอาจถามไปว่า “Where are you from originally?” ซึ่งหมายถึงคุณต้องการรู้ว่าเขาเกิดที่ไหน
คำถามเป็นสิ่งที่ช่วยให้การสนทนาเป็นไปได้ง่ายขึ้น ถ้าคู่สนทนาของคุณเป็นคนสุภาพ เขาจะถามคุณกลับ
ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้คุณพูดเกี่ยวกับตัวคุณเองด้วย
แนะนำตัวเอง
อย่างเพียงแค่กล่าวว่า “Hi, my name is John.” ให้เติมรายละเอียดเข้าไปด้วย เช่น
“Hi, my name is John. I’m a friend of Bob’s from high school. We use to have the same math class together.”
นี่เป็นวิธีดึงความสนใจจากคู่สนทนา และกระตุ้นให้เขาถามเกี่ยวกับคุณ
หรือเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาเอง ให้คุณทราบเป็นการสนองกลับ
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบางอย่าง
คุณไม่จำเป็นต้องถามเขาเป็นการส่วนตัว แต่คุณสามารถดึงความสนใจจากเขาโดยการกล่าวลอยๆ อย่างเช่น
“This is a great party” หรือ “What a lovely house this is.” ถึงแม้ว่างานปาร์ตี้หรือบ้านหลังนี้จะไม่ใช่ของเขา
แต่ประโยคข้างต้นเป็นหัวข้อง่ายๆ ที่ดีในการเปิดโอกาสให้คนแสดงความคิดเห็นของเขา
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ประโยคที่ดีที่สุดเหล่านี้ใช้ได้ดี
เพราะคุณและคนแปลกหน้านี้มีบางสิ่งร่วมกัน นั่นก็คือพวกคุณกำลังคุยกันยังไงล่ะ
ที่มา http://www.rism.ac.th
แล้วคุณจะหาเรื่องอะไรมาคุย? คุณจะเริ่มการสนทนาอย่างน่าสนใจกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้อย่างไร?
การพยายามแนะนำตัวเองต่อคนแปลกหน้า อาจเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก
ก็ถ้าคุณไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลย แล้วคุณจะหาเรื่องอะไรมาคุย?
คุณจะเริ่มการสนทนาอย่างน่าสนใจกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้อย่างไร?
ประโยคต่อไปนี้คือ “ประโยคที่ดีที่สุดที่คุณสามารถนำไปใช้ได้
หาสิ่งที่คุณและเขามีร่วมกัน
ถึงแม้คุณจะคิดว่าคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนนั้นเลย แต่จริงๆ แล้วคุณรู้มากกว่าที่คุณคิด
ก็คุณและเขาอยู่ในห้องเดียวกันนี่หนึ่งละ
ดังนั้น คุณสามารถถามเขาได้ว่า “So what brings you here?”
หรือสมมุติว่า คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้ของ Bob เพื่อนคุณ
คุณสามารถถามคนๆ นั้นว่า “How do you know Bob?”
ชมเขา
คนเราทุกคนต่างก็พอใจที่จะได้ยินสิ่งดีๆ เกี่ยวกับตัวเองทั้งนั้น
“What a wonderful dress you’re wearing!”
หรือบอกเขาว่า คุณชอบรองเท้าของเธอ หรือแว่นตาของเขามาก เป็นต้น
หลังจากนั้น ถ้าคู่สนทนาของคุณไม่กล่าวอะไรต่อมากไปกว่าคำว่า “thank you,”
คุณสามารถถามต่อไปว่า “Where did you get it?” หรือ “What’s it made out of?”
หรือแม้แต่ “Was it expensive?”
คำถามเหล่านี้ ดีตรงที่มันเป็นการเปิดโอกาสให้คนๆ นั้น บอกเล่าสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเองให้คุณฟัง
ถามคำถามเกี่ยวกับเขา
คนส่วนใหญ่ต่างก็มีการมีงานทำกันทั้งนั้น ฉะนั้นคุณสามารถถามเขาว่า “So what do you do for a living?”
หรือคุณอาจถามไปว่า “Where are you from originally?” ซึ่งหมายถึงคุณต้องการรู้ว่าเขาเกิดที่ไหน
คำถามเป็นสิ่งที่ช่วยให้การสนทนาเป็นไปได้ง่ายขึ้น ถ้าคู่สนทนาของคุณเป็นคนสุภาพ เขาจะถามคุณกลับ
ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้คุณพูดเกี่ยวกับตัวคุณเองด้วย
แนะนำตัวเอง
อย่างเพียงแค่กล่าวว่า “Hi, my name is John.” ให้เติมรายละเอียดเข้าไปด้วย เช่น
“Hi, my name is John. I’m a friend of Bob’s from high school. We use to have the same math class together.”
นี่เป็นวิธีดึงความสนใจจากคู่สนทนา และกระตุ้นให้เขาถามเกี่ยวกับคุณ
หรือเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาเอง ให้คุณทราบเป็นการสนองกลับ
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบางอย่าง
คุณไม่จำเป็นต้องถามเขาเป็นการส่วนตัว แต่คุณสามารถดึงความสนใจจากเขาโดยการกล่าวลอยๆ อย่างเช่น
“This is a great party” หรือ “What a lovely house this is.” ถึงแม้ว่างานปาร์ตี้หรือบ้านหลังนี้จะไม่ใช่ของเขา
แต่ประโยคข้างต้นเป็นหัวข้อง่ายๆ ที่ดีในการเปิดโอกาสให้คนแสดงความคิดเห็นของเขา
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ประโยคที่ดีที่สุดเหล่านี้ใช้ได้ดี
เพราะคุณและคนแปลกหน้านี้มีบางสิ่งร่วมกัน นั่นก็คือพวกคุณกำลังคุยกันยังไงล่ะ
ที่มา http://www.rism.ac.th
9 เคล็ดลับ จับใจคน
"ถ้าคุณรู้สึกงุนงงว่าตัวเองนั้นมีใครชอบหรือเกลียดหรือไม่ในขณะนี้ คุณลองอ่าน
9 เคล็ดลับนี้ดูดีไหม "
วัยรุ่นและหนุ่มสาวหลายคนขอร้องให้เขียนเรื่อง "ทำอย่างไรให้ใครๆ ชอบ"
ก่อนจะเขียนเรื่องนี้ ก็จะต้องตกลงกันให้เข้าใจเสียแต่ต้นว่า
คำว่า "ชอบ" กับ "รัก" ในภาษาไทยไม่ใช่คำเดียวกัน แต่เรามักใช้ผิดหรือปนเปกันไปหมด
"ชอบ" แปลว่า พอใจ...ก็เท่านั้นเอง ยังไม่ลึกซึ้งเข้าไปถึงหัวใจ
เราชอบกินแกงต้มยำ ไม่ได้แปลว่า เรารักแกงต้มยำ
เราชอบส้วมแบบนั่งชักโครก (คือไม่ชอบส้วมแบบนั่งยองๆ) ก็ไม่ได้แปลว่า เรารักส้วมแบบชักโครก
แต่เรารักต้นไม้ได้ เพราะคนรักต้นไม้จะเอาใจใส่ ทะนุบำรุง ดูแล ห่วงใย และอยากปกป้องคุ้มครอง
พูดสั้นๆ ถาเรารักอะไร เราเอาหัวใจทั้งดวงไปผูกพันกับสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าใครมาบอกคุณว่า เขาชอบคุณ ก็แปลว่า เขาอยู่แค่ชั้นพอใจคุณเท่านั้น
อย่าคิดเลยเถิดเข้าข้างตัวเองว่า เขาจะเอาหัวใจทั้งดวงของเขามาผูกพันกับคุณ
แต่เพื่อนนี่ชอบกันถ้าได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ก็จะกลายเป็นเพื่อนรักกันตลอดไปได้
จะเขียนเรื่องชอบอย่างเพื่อนก่อน
วัยรุ่นไม่ชอบอะไรเยิ่นเย้อ ก็จะให้ข้อแนะนำทันทีเลยว่า ทำอย่างไรจะให้คนชอบคุณอย่างเพื่อน
1. ทำตัวเป็นธรรมชาติ
คนเราไม่ชอบคนเสแสร้ง คนเราไม่ชอบคนดัดจริตหรือคนวางท่า
คนเราไม่ชอบคนวางท่าเป็นดารากับเพื่อน ความเป็นเพื่อนต้องการความจริงใจ
คนวางท่าหยิ่ง หรือจีบปากจีบคอพูดเราไม่ชอบคนดัดจริต หรือคนวางท่า
คนเราไม่ชอบคนวางท่าเป็นดารากับเพื่อน อาจดึงดูดความสนใจชั่วขณะแรกพบกัน
แต่รับรองว่าไม่กี่ครั้ง เขาก็จะเบื่อและรำคาญ หรือถ้าเป็นเพื่อนเพศเดียวกัน เขาก็จะหมั่นไส้ไม่ชอบหน้า
2. สนใจฟังเขา ไม่พูดแต่เรื่องของตัวเอง
คนเป็นเพื่อนกันก็ต้องคุยเรื่องของตนเองให้เพื่อนฟังบ้าง
แต่ต้องมีการแลกเปลี่ยนและสนใจเรื่องของเขา มากกว่าพูดแต่เรื่องของตัวเอง
3. อารมณ์ดี
คนเราไม่ชอบเข้าใกล้คนหงุดหงิด ขี้โมโห ฉุนเฉียว ยิ่งก้าวร้าวด้วยละก็นั่งเหงาไปคนเดียวเถอะ
ถ้าคุณอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอๆ ต้องหาสาเหตุแล้วแก้ไข มิฉะนั้น คุณจะพบว่า คุณมีเพื่อนน้อยลงๆ
เพราะเขาค่อยๆ ตีตัวออกห่างไปทีละคนสองคน เพื่อไปหาคนอารมณ์ดี ที่เขาอยู่ใกล้แล้วสบายใจ
4. รู้จัก "ให้" และ "รับ"
การให้และรับไม่ได้หมายความเฉพาะวัตถุ การช่วยเหลือเวลาเขามีความทุกข์
การช่วยเหลือการงานหรือการเรียน ฯลฯ ของเขาก็ถือเป็นการให้ เป็นการให้ที่มีค่ามากด้วยซ้ำไป
ที่แนะนำให้รู้จัก "รับ" ด้วยนั้น ก็เพราะผู้เขียนเห็นมามาก พอที่จะกล้ากล่าวว่า
คนจิตใจปกติมักไม่ชอบคนที่ไม่ยอมรับอะไรจากใครเลย คนเราไม่ชอบคนที่ทำให้เรารู้สึกละอายใจ
5. มองโลกในแง่ดี
ถ้าคุณเห็นดอกไม้สวย เห็นเด็กๆ น่ารัก เห็นเพื่อนบางคนเก่ง เห็นครูบางคนดี
ถ้าคุณมองทะลุสิวเขรอะของเพื่อนเข้าไปเห็นความร่าเริง และความมีน้ำใจของเขา
ถ้าคุณพูดยกย่องความดีความสามารถของใครๆ มากกว่าพูดตำหนิ หรือนินทาเขา
ใครๆ ก็จะอยากเข้าใกล้คุณ อยากคุยกับคุณ อยากเป็นเพื่อนของคุณ
ฝึกตนเองให้มองโลกในแง่ดีแล้วมันจะติดเป็นนิสัยคุณไปตลอดชีวิต
คนอยู่ใกล้ก็เป็นสุข แล้วจะถ่ายทอดไปถึงลูกหลานของคุณด้วย
6. อย่าบ่น อย่าบึ้ง อย่าเบ่ง อย่าเบี้ยว
บอก ต่างกับ บ่น เพราะว่าบอกคือ พูดสั้นๆ ไม่ใส่อารมณ์ และพูดหนเดียวพอ คนเราไม่ชอบฟังแผ่นเสียงตกร่อง
เบี้ยว คือ ไม่รับผิดชอบหน้าที่ ไม่ทำตามสัญญา ขอยืมแล้วไม่ใช้ ฯลฯ
นอกจากเขาจะไม่ชอบแล้ว เขาจะดูถูกและเมินหนีอีกด้วย
ธรรมชาติมนุษย์ชอบเข้าใกล้คนหน้าตายิ้มแย้ม ทักทาย
ทักเพื่อนก่อนได้กำไร เหมือนเปิดประตูเชิญให้เขาวิสาสะด้วย ถ้าทักเขาก่อนแล้วเขาไม่ทักตอบก็อย่าเสียใจ
เขาอาจจะไม่เห็น อาจจะกำลังใจลอยคิดอะไรเพลินอยู่
หรือเขาอาจจะเป็นคนไม่มีมารยาท คุณยังอยากจะเสียเวลากับคนไม่มีมารยาทอยู่อีกหรือ?
บ่น คนรำคาญ
บึ้ง คนหนี
เบ่ง คนหมั่นไส้
เบี้ยว คนรังเกียจ
7. อย่านินทา
อย่าเอาคำว่า นินทา ไปปนกับคำวิจารณ์
นินทา เป็น พฤติกรรมทำลาย วิจารณ์ เป็น พฤติกรรมสร้างสรรค์ เพราะการวิจารณ์คือการพูดถึงข้อดีข้อเสีย
โดยใช้เหตุผลและไม่ใช้อารมณ์ การวิจารณ์ให้ประโยชน์ แต่การนินทาให้แต่โทษอย่างเดียว
8. อย่าชวนทำชั่ว
คนดีๆ ไม่ชอบคนที่มาฉุดให้เขาลงไปสู่ที่ต่ำ เช่น ลักขโมย สารเสพติด เที่ยวเตร่ดึกดื่น ฯลฯ
จะมีก็แต่พวกบุคลิกภาพผิดปกติชนิดอันธพาลหรืออาชญากรเท่านั้นที่ชอบ
เพราะฉะนั้น ถ้าชวนคนดีๆ ทำชั่ว เขาจะรังเกียจและตีตนออกห่างทันที
9. ดูแลร่างกายให้น่าเข้าใกล้
คนผมไม่สระ เสื้อผ้าไม่ซักส่งกลิ่น ปากเหม็น กลิ่นตัวคลุ้ง จะนิสัยดีแค่ไหน เพื่อนก็ไม่อยากเข้าไปคุยด้วย เดินด้วย
และอย่าลืมว่า กลิ่นน้ำหอมฉุนๆ ก็ร้ายพอๆ กับกลิ่นตัว ไม่ใส่น้ำหอมเลยยังจะดีกว่า คนเราชอบกลิ่นรื่นรมย์
หลังจากปฏิบัติทุกข้อข้างต้นครบถ้วนแล้ว คุณก็มีอีกข้อหนึ่งต้องทำคือ
ต้องทำใจยอมรับความจริงอย่างหนึ่งของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ความจริงที่ว่านั่นก็คือ ตั้งแต่มีการสร้างโลกกันมา ยังไม่เคยมีใครสักคนเดียวที่จะทำให้ทุกคนในโลกชอบได้...
ไม่มีจริงๆ ความคิดที่อยากจะให้ทุกคนในโลกชอบคุณ จึงเป็นความคิด ที่ไม่มีวันจะเป็นจริงขึ้นมาได้
ไม่ว่าคุณจะทุ่มกาย ทุ่มใจ ทุ่มเงินแค่ไหน ไปสืบดูเถิด เจ้าบุญทุ่มทุกคนยังไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบเขาได้
ไม่เคยมีนางงามจักรวาลโลกคนไหนสามารถทำให้ทุกคนชอบเธอได้
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณทำดีที่สุดของคุณแล้วก็จงพอใจ จงบอกตัวเองแล้วจดจำไว้สอนลูกหลานด้วยว่า
ไม่มีใครในโลกจะทำให้ทุกคนในโลกชอบตนได้...ไม่มีจริงๆ
อย่างไรก็ตามคุณอย่าทิ้งความเป็นตัวของคุณเอง อย่าพยายามทำตัวให้ใครๆ ชอบเสียจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
เพราะนั่นก็เป็นข้อหนึ่งที่จะทำให้คนไม่ชอบคุณ
เริ่มลงมือปฏิบัติตามข้อแนะนำเสียแต่วันนี้คุณจะพบว่า นอกจากคุณจะมีเพื่อนชอบคุณมากขึ้นแล้ว
คุณเองก็จะมีสุขภาพจิตดีขึ้นเสมอ เพราะทุกๆ ข้อที่กล่าวไว้เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะทำให้คนเราสุขภาพจิตดี
โดย พญ.สุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา
9 เคล็ดลับนี้ดูดีไหม "
วัยรุ่นและหนุ่มสาวหลายคนขอร้องให้เขียนเรื่อง "ทำอย่างไรให้ใครๆ ชอบ"
ก่อนจะเขียนเรื่องนี้ ก็จะต้องตกลงกันให้เข้าใจเสียแต่ต้นว่า
คำว่า "ชอบ" กับ "รัก" ในภาษาไทยไม่ใช่คำเดียวกัน แต่เรามักใช้ผิดหรือปนเปกันไปหมด
"ชอบ" แปลว่า พอใจ...ก็เท่านั้นเอง ยังไม่ลึกซึ้งเข้าไปถึงหัวใจ
เราชอบกินแกงต้มยำ ไม่ได้แปลว่า เรารักแกงต้มยำ
เราชอบส้วมแบบนั่งชักโครก (คือไม่ชอบส้วมแบบนั่งยองๆ) ก็ไม่ได้แปลว่า เรารักส้วมแบบชักโครก
แต่เรารักต้นไม้ได้ เพราะคนรักต้นไม้จะเอาใจใส่ ทะนุบำรุง ดูแล ห่วงใย และอยากปกป้องคุ้มครอง
พูดสั้นๆ ถาเรารักอะไร เราเอาหัวใจทั้งดวงไปผูกพันกับสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าใครมาบอกคุณว่า เขาชอบคุณ ก็แปลว่า เขาอยู่แค่ชั้นพอใจคุณเท่านั้น
อย่าคิดเลยเถิดเข้าข้างตัวเองว่า เขาจะเอาหัวใจทั้งดวงของเขามาผูกพันกับคุณ
แต่เพื่อนนี่ชอบกันถ้าได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ก็จะกลายเป็นเพื่อนรักกันตลอดไปได้
จะเขียนเรื่องชอบอย่างเพื่อนก่อน
วัยรุ่นไม่ชอบอะไรเยิ่นเย้อ ก็จะให้ข้อแนะนำทันทีเลยว่า ทำอย่างไรจะให้คนชอบคุณอย่างเพื่อน
1. ทำตัวเป็นธรรมชาติ
คนเราไม่ชอบคนเสแสร้ง คนเราไม่ชอบคนดัดจริตหรือคนวางท่า
คนเราไม่ชอบคนวางท่าเป็นดารากับเพื่อน ความเป็นเพื่อนต้องการความจริงใจ
คนวางท่าหยิ่ง หรือจีบปากจีบคอพูดเราไม่ชอบคนดัดจริต หรือคนวางท่า
คนเราไม่ชอบคนวางท่าเป็นดารากับเพื่อน อาจดึงดูดความสนใจชั่วขณะแรกพบกัน
แต่รับรองว่าไม่กี่ครั้ง เขาก็จะเบื่อและรำคาญ หรือถ้าเป็นเพื่อนเพศเดียวกัน เขาก็จะหมั่นไส้ไม่ชอบหน้า
2. สนใจฟังเขา ไม่พูดแต่เรื่องของตัวเอง
คนเป็นเพื่อนกันก็ต้องคุยเรื่องของตนเองให้เพื่อนฟังบ้าง
แต่ต้องมีการแลกเปลี่ยนและสนใจเรื่องของเขา มากกว่าพูดแต่เรื่องของตัวเอง
3. อารมณ์ดี
คนเราไม่ชอบเข้าใกล้คนหงุดหงิด ขี้โมโห ฉุนเฉียว ยิ่งก้าวร้าวด้วยละก็นั่งเหงาไปคนเดียวเถอะ
ถ้าคุณอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอๆ ต้องหาสาเหตุแล้วแก้ไข มิฉะนั้น คุณจะพบว่า คุณมีเพื่อนน้อยลงๆ
เพราะเขาค่อยๆ ตีตัวออกห่างไปทีละคนสองคน เพื่อไปหาคนอารมณ์ดี ที่เขาอยู่ใกล้แล้วสบายใจ
4. รู้จัก "ให้" และ "รับ"
การให้และรับไม่ได้หมายความเฉพาะวัตถุ การช่วยเหลือเวลาเขามีความทุกข์
การช่วยเหลือการงานหรือการเรียน ฯลฯ ของเขาก็ถือเป็นการให้ เป็นการให้ที่มีค่ามากด้วยซ้ำไป
ที่แนะนำให้รู้จัก "รับ" ด้วยนั้น ก็เพราะผู้เขียนเห็นมามาก พอที่จะกล้ากล่าวว่า
คนจิตใจปกติมักไม่ชอบคนที่ไม่ยอมรับอะไรจากใครเลย คนเราไม่ชอบคนที่ทำให้เรารู้สึกละอายใจ
5. มองโลกในแง่ดี
ถ้าคุณเห็นดอกไม้สวย เห็นเด็กๆ น่ารัก เห็นเพื่อนบางคนเก่ง เห็นครูบางคนดี
ถ้าคุณมองทะลุสิวเขรอะของเพื่อนเข้าไปเห็นความร่าเริง และความมีน้ำใจของเขา
ถ้าคุณพูดยกย่องความดีความสามารถของใครๆ มากกว่าพูดตำหนิ หรือนินทาเขา
ใครๆ ก็จะอยากเข้าใกล้คุณ อยากคุยกับคุณ อยากเป็นเพื่อนของคุณ
ฝึกตนเองให้มองโลกในแง่ดีแล้วมันจะติดเป็นนิสัยคุณไปตลอดชีวิต
คนอยู่ใกล้ก็เป็นสุข แล้วจะถ่ายทอดไปถึงลูกหลานของคุณด้วย
6. อย่าบ่น อย่าบึ้ง อย่าเบ่ง อย่าเบี้ยว
บอก ต่างกับ บ่น เพราะว่าบอกคือ พูดสั้นๆ ไม่ใส่อารมณ์ และพูดหนเดียวพอ คนเราไม่ชอบฟังแผ่นเสียงตกร่อง
เบี้ยว คือ ไม่รับผิดชอบหน้าที่ ไม่ทำตามสัญญา ขอยืมแล้วไม่ใช้ ฯลฯ
นอกจากเขาจะไม่ชอบแล้ว เขาจะดูถูกและเมินหนีอีกด้วย
ธรรมชาติมนุษย์ชอบเข้าใกล้คนหน้าตายิ้มแย้ม ทักทาย
ทักเพื่อนก่อนได้กำไร เหมือนเปิดประตูเชิญให้เขาวิสาสะด้วย ถ้าทักเขาก่อนแล้วเขาไม่ทักตอบก็อย่าเสียใจ
เขาอาจจะไม่เห็น อาจจะกำลังใจลอยคิดอะไรเพลินอยู่
หรือเขาอาจจะเป็นคนไม่มีมารยาท คุณยังอยากจะเสียเวลากับคนไม่มีมารยาทอยู่อีกหรือ?
บ่น คนรำคาญ
บึ้ง คนหนี
เบ่ง คนหมั่นไส้
เบี้ยว คนรังเกียจ
7. อย่านินทา
อย่าเอาคำว่า นินทา ไปปนกับคำวิจารณ์
นินทา เป็น พฤติกรรมทำลาย วิจารณ์ เป็น พฤติกรรมสร้างสรรค์ เพราะการวิจารณ์คือการพูดถึงข้อดีข้อเสีย
โดยใช้เหตุผลและไม่ใช้อารมณ์ การวิจารณ์ให้ประโยชน์ แต่การนินทาให้แต่โทษอย่างเดียว
8. อย่าชวนทำชั่ว
คนดีๆ ไม่ชอบคนที่มาฉุดให้เขาลงไปสู่ที่ต่ำ เช่น ลักขโมย สารเสพติด เที่ยวเตร่ดึกดื่น ฯลฯ
จะมีก็แต่พวกบุคลิกภาพผิดปกติชนิดอันธพาลหรืออาชญากรเท่านั้นที่ชอบ
เพราะฉะนั้น ถ้าชวนคนดีๆ ทำชั่ว เขาจะรังเกียจและตีตนออกห่างทันที
9. ดูแลร่างกายให้น่าเข้าใกล้
คนผมไม่สระ เสื้อผ้าไม่ซักส่งกลิ่น ปากเหม็น กลิ่นตัวคลุ้ง จะนิสัยดีแค่ไหน เพื่อนก็ไม่อยากเข้าไปคุยด้วย เดินด้วย
และอย่าลืมว่า กลิ่นน้ำหอมฉุนๆ ก็ร้ายพอๆ กับกลิ่นตัว ไม่ใส่น้ำหอมเลยยังจะดีกว่า คนเราชอบกลิ่นรื่นรมย์
หลังจากปฏิบัติทุกข้อข้างต้นครบถ้วนแล้ว คุณก็มีอีกข้อหนึ่งต้องทำคือ
ต้องทำใจยอมรับความจริงอย่างหนึ่งของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ความจริงที่ว่านั่นก็คือ ตั้งแต่มีการสร้างโลกกันมา ยังไม่เคยมีใครสักคนเดียวที่จะทำให้ทุกคนในโลกชอบได้...
ไม่มีจริงๆ ความคิดที่อยากจะให้ทุกคนในโลกชอบคุณ จึงเป็นความคิด ที่ไม่มีวันจะเป็นจริงขึ้นมาได้
ไม่ว่าคุณจะทุ่มกาย ทุ่มใจ ทุ่มเงินแค่ไหน ไปสืบดูเถิด เจ้าบุญทุ่มทุกคนยังไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบเขาได้
ไม่เคยมีนางงามจักรวาลโลกคนไหนสามารถทำให้ทุกคนชอบเธอได้
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณทำดีที่สุดของคุณแล้วก็จงพอใจ จงบอกตัวเองแล้วจดจำไว้สอนลูกหลานด้วยว่า
ไม่มีใครในโลกจะทำให้ทุกคนในโลกชอบตนได้...ไม่มีจริงๆ
อย่างไรก็ตามคุณอย่าทิ้งความเป็นตัวของคุณเอง อย่าพยายามทำตัวให้ใครๆ ชอบเสียจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
เพราะนั่นก็เป็นข้อหนึ่งที่จะทำให้คนไม่ชอบคุณ
เริ่มลงมือปฏิบัติตามข้อแนะนำเสียแต่วันนี้คุณจะพบว่า นอกจากคุณจะมีเพื่อนชอบคุณมากขึ้นแล้ว
คุณเองก็จะมีสุขภาพจิตดีขึ้นเสมอ เพราะทุกๆ ข้อที่กล่าวไว้เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะทำให้คนเราสุขภาพจิตดี
โดย พญ.สุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา
ทำอย่างไรไม่ให้ถูกชักจูงง่าย
โลกเราทุกวันนี้ มีข่าวของการหลอกลวง ชักจูงไปในทางไม่ดีอยู่เรื่อย
บ้านเราเองก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำมิได้ขาด ตั้งแต่หลอกให้ลุ่มหลงในลัทธิศาสนา และไสยศาสตร์
จนถึงการต้มตุ๋นหลอกเอาเงินทองไปครั้งละมากๆ แทบไม่น่าเชื่อว่ายุคนี้ยังมีแชร์ลูกโซ่เกิดขึ้น
และยังมีคนหลงเอาเงินไปให้เขาอีก พวกมิจฉาชีพที่ตกทองเอาของปลอมไปแลกของจริงก็ยังหากินอยู่ได้
สิ่งที่มีอิทธิพลในการโน้มน้าวชักจูง ให้คนเชื่อในทิศทางที่อาจไม่ตรงความเป็นจริงนัก
ได้แก่ การโฆษณา ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนเราเป็นอย่างมาก
การโฆษณาสินค้า มีอิทธิพลต่อความเชื่อของคน ให้เกิดการซึมซาบเข้าไปในจิตไร้สำนึก
ว่าสินค้าที่โฆษณานั้นมีคุณสมบัติดีจริง ใช้แล้วจะโก้เก๋
หรือมีคุณลักษณะเหมือนนายแบบนางแบบ ที่เขาจ้างมาเป็นผู้นำเสนอนั้น
ความจริงแล้ว บุคคลที่รับจ้างโฆษณานั้น บางทีมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือใช้สินค้าชนิดนั้นแต่อย่างใด
บางคนไปโฆษณาสุราทั้งที่ไม่เคยดื่มสุราเลยก็มี
นางแบบที่โฆษณายาสระผม บางทีก็ไม่เคยใช้ยาสระผม ชนิดนั้นเลย
และเส้นผมของเขาก็ไม่ได้สวยงามดำเป็นมันอย่างที่เห็นในหนังโฆษณา
นางงามที่กองประกวดพยายามสร้างภาพให้เข้าใจว่าสวยที่สุดในประเทศ สวยที่สุดในโลก
หรือสวยที่สุดในจักรวาลนั้น ความจริงแล้วมิได้สวยไปกว่าผู้หญิงอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ที่ไม่ได้เข้าประกวด
แต่การสร้างภาพก็ได้ผลในการล่อจระเข้หนุ่มจระเข้เฒ่าทั้งหลายให้หลงใหล น้ำลายสอ
จนต้องทุ่มเทกันอย่างสุดเหวี่ยง
ผลของการโฆษณาและการสร้างภาพ ทำให้พฤติกรรมในการบริโภคของคนในสังคม
เป็นไปในทิศทางที่เขาพยายามโน้มน้าวให้เป็น
สินค้าหลายชนิดขายดิบขายดีเพราะอิทธิพลของการโฆษณา นาฬิกาข้อมือถูกเปลี่ยนไปเป็นเครื่องประดับ
แทนที่จะเป็นเครื่องบอกเวลา จึงต้องซื้อหากันในราคาแพงเกินจำเป็น
รถยนต์ถูกใช้เป็นเครื่องบ่งบอกฐานะหรือชนชั้น แทนที่จะใช้เป็นยานพาหนะ
จึงทำให้ยอดขายรถยนต์ราคาแพงไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมากนัก
รถชนิดขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นที่นิยมกันมากในประเทศเรา เพราะเชื่อกันว่า เป็นของดีที่ใครๆ ก็ใช้กัน
และเป็นสมัยนิยม พอซื้อมาแล้วก็ขับกันอยู่แต่ในเมือง
ไม่เคยได้ใช้ประโยชน์จากการขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ต้องจ่ายเงินไปเลยกลายเป็นความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ
สาเหตุที่ทำให้คนเราถูกชักนำให้เชื่อและมีพฤติกรรมตามความเชื่อนั้น
เกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่างทั้งภายในและภายนอกบุคคลนั้น ตัวอย่างเช่น
1. บุคลิกภาพ
ผู้ที่มีบุคลิกภาพอ่อนแอ ขาดความมั่นคง ไม่เป็นตัวของตัวเอง
มีความต้องการพึ่งพิงผู้อื่นสูง มีโอกาสถูกชักจูงได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
2. การขาดเอกลักษณ์แห่งตน (identity)
ผู้ที่ขาดเอกลักษณ์ไม่มีจุดยืน ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ขาดหลักการ ไม่สามารถใช้เหตุผล
มีแนวโน้มจะถูกชักจูงให้ทำตามหรือลอกเลียนแบบผู้อื่น ได้ง่ายกว่าคนที่มีเอกลักษณ์
3. วัย
วัยเด็กเป็นวัยที่มีโอกาสถูกชักจูงโน้มน้าวให้เชื่อและทำตามบุคคลที่ใกล้ชิด
หรือมีความสำคัญในชีวิตได้ง่ายกว่าวัยผู้ใหญ่
ส่วนวัยรุ่นมักได้รับอิทธิพลจากเพื่อนมากที่สุด เพราะมีความต้องการการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนมากกว่าวัยอื่น
4. การขาดความรู้และขาดประสบการณ์
ผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา หรือผู้มีโอกาส แต่ขาดความสนใจในการแสวงหาความรู้
ย่อมมีโอกาสถูกชักนำให้หลงผิดได้ง่ายกว่า คนมีความรู้และประสบการณ์
5. กิเลส
ความโลภ บางครั้งทำให้คนถูกหลอกได้ง่ายขึ้น
พวกมิจฉาชีพจึงสามารถใช้อุบาย ตกทองหากินมาได้จนถึงปัจจุบัน แชร์ลูกโซ่ก็ไม่มีวันหมดไปจากประเทศนี้
6. ความเอนเอียงที่จะเชื่อในสิ่งนั้น
คนที่อยากได้ผู้วิเศษมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไว้ เป็นที่พึ่งกราบไหว้บูชา
มีแนวโน้มจะถูกผู้อวดอ้างว่ามีคุณสมบัติดังกล่าวหลอกได้ง่าย
7. สถานการณ์และสิ่งแวดล้อม
ในภาวะที่บ้านเมืองมีเหตุการณ์ไม่สงบ จิตใจของประชาชนระส่ำระสาย การเชื่อถือข่าวลือมักเกิดขึ้นได้ง่าย
การป้องกันแก้ไข ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง หรือชักนำไปในทางที่ผิด
ต้องเริ่มต้นตั้งแต่การเลี้ยงดูเด็ก ให้มีพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่ถูกต้องเหมาะสม
เด็กควรได้รับการส่งเสริมให้มีพัฒนาการทางความคิดที่เป็นอิสระ มีการใช้เหตุผล รู้จักไตร่ตรอง
มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่พึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป มีเอกลักษณ์ของตนเอง มีจุดยืนที่มั่นคง
และมีเป้าหมายในชีวิตที่สมเหตุผล
สิ่งเหล่านี้ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ตั้งแต่เล็กจนใหญ่ อย่างสม่ำเสมอ มิใช่สามารถสร้างได้ ในระยะเวลาอันสั้น
จะมาเข้ารับการอบรมหลักสูตรพัฒนาบุคลิกภาพตอนโต ก็ไม่ค่อยได้ผล ไม่เหมือนสร้างมาตั้งแต่เล็กๆ
การรณรงค์ให้เด็ก และวัยรุ่นไม่ถูกชักนำจากเพื่อนหรือบุคคลอื่นให้ตกเป็นทาสยาเสพติด
เขาจึงใช้คำขวัญว่า "Just say no" เป็นการสอนให้รู้จักปฏิเสธและเป็นตัวของตัวเองไม่ต้องไปตามอย่างใคร
หรือเกรงใจใครในเรื่องที่ไม่สมควร
ประชาชนทั่วไปควรพัฒนาตนเองให้มีความรอบรู้ ด้วยการอ่านหนังสือที่มีประโยชน์
ติดตามข่าวสารบ้านเมืองที่มีสาระ อย่าสนใจแต่เพียงความบันเทิง
การมีข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ร่วมกับการใช้สติปัญญาไตร่ตรองในเรื่องต่างๆ
จะช่วยให้ไม่ถูกชักนำไปในทางงมงาย หรือตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่ประสงค์ดีต่อเรา
หากพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ด้วยเหตุผล ก็จะเกิดความระมัดระวังและรอบคอบในการเชื่อสิ่งต่างๆ
ไม่หลงเชื่อคำโฆษณา หรือการหลอกลวงผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งการติดต่อทางตรง
ถ้าใช้วิจารณญาณให้ดี อาจคิดได้ว่า สินค้าที่โฆษณามากๆ นั้น
ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระ ค่าโฆษณาไว้ในต้นทุนด้วย
อันที่จริงพระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้เป็นอย่างดีแล้วว่า อะไรไม่ควรเชื่อ และอะไรควรเชื่อ
การปฏิบัติตามธรรมของศาสนาที่ใช้ปัญญาและสติเป็นที่ตั้งย่อมเป็นหนทางไปสู่การดับทุกข์
ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับการสร้างเสริมสุขภาพจิต
โดย นพ.เกษม ตันติผลาชีวะ
บ้านเราเองก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำมิได้ขาด ตั้งแต่หลอกให้ลุ่มหลงในลัทธิศาสนา และไสยศาสตร์
จนถึงการต้มตุ๋นหลอกเอาเงินทองไปครั้งละมากๆ แทบไม่น่าเชื่อว่ายุคนี้ยังมีแชร์ลูกโซ่เกิดขึ้น
และยังมีคนหลงเอาเงินไปให้เขาอีก พวกมิจฉาชีพที่ตกทองเอาของปลอมไปแลกของจริงก็ยังหากินอยู่ได้
สิ่งที่มีอิทธิพลในการโน้มน้าวชักจูง ให้คนเชื่อในทิศทางที่อาจไม่ตรงความเป็นจริงนัก
ได้แก่ การโฆษณา ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนเราเป็นอย่างมาก
การโฆษณาสินค้า มีอิทธิพลต่อความเชื่อของคน ให้เกิดการซึมซาบเข้าไปในจิตไร้สำนึก
ว่าสินค้าที่โฆษณานั้นมีคุณสมบัติดีจริง ใช้แล้วจะโก้เก๋
หรือมีคุณลักษณะเหมือนนายแบบนางแบบ ที่เขาจ้างมาเป็นผู้นำเสนอนั้น
ความจริงแล้ว บุคคลที่รับจ้างโฆษณานั้น บางทีมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือใช้สินค้าชนิดนั้นแต่อย่างใด
บางคนไปโฆษณาสุราทั้งที่ไม่เคยดื่มสุราเลยก็มี
นางแบบที่โฆษณายาสระผม บางทีก็ไม่เคยใช้ยาสระผม ชนิดนั้นเลย
และเส้นผมของเขาก็ไม่ได้สวยงามดำเป็นมันอย่างที่เห็นในหนังโฆษณา
นางงามที่กองประกวดพยายามสร้างภาพให้เข้าใจว่าสวยที่สุดในประเทศ สวยที่สุดในโลก
หรือสวยที่สุดในจักรวาลนั้น ความจริงแล้วมิได้สวยไปกว่าผู้หญิงอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ที่ไม่ได้เข้าประกวด
แต่การสร้างภาพก็ได้ผลในการล่อจระเข้หนุ่มจระเข้เฒ่าทั้งหลายให้หลงใหล น้ำลายสอ
จนต้องทุ่มเทกันอย่างสุดเหวี่ยง
ผลของการโฆษณาและการสร้างภาพ ทำให้พฤติกรรมในการบริโภคของคนในสังคม
เป็นไปในทิศทางที่เขาพยายามโน้มน้าวให้เป็น
สินค้าหลายชนิดขายดิบขายดีเพราะอิทธิพลของการโฆษณา นาฬิกาข้อมือถูกเปลี่ยนไปเป็นเครื่องประดับ
แทนที่จะเป็นเครื่องบอกเวลา จึงต้องซื้อหากันในราคาแพงเกินจำเป็น
รถยนต์ถูกใช้เป็นเครื่องบ่งบอกฐานะหรือชนชั้น แทนที่จะใช้เป็นยานพาหนะ
จึงทำให้ยอดขายรถยนต์ราคาแพงไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมากนัก
รถชนิดขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นที่นิยมกันมากในประเทศเรา เพราะเชื่อกันว่า เป็นของดีที่ใครๆ ก็ใช้กัน
และเป็นสมัยนิยม พอซื้อมาแล้วก็ขับกันอยู่แต่ในเมือง
ไม่เคยได้ใช้ประโยชน์จากการขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ต้องจ่ายเงินไปเลยกลายเป็นความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ
สาเหตุที่ทำให้คนเราถูกชักนำให้เชื่อและมีพฤติกรรมตามความเชื่อนั้น
เกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่างทั้งภายในและภายนอกบุคคลนั้น ตัวอย่างเช่น
1. บุคลิกภาพ
ผู้ที่มีบุคลิกภาพอ่อนแอ ขาดความมั่นคง ไม่เป็นตัวของตัวเอง
มีความต้องการพึ่งพิงผู้อื่นสูง มีโอกาสถูกชักจูงได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
2. การขาดเอกลักษณ์แห่งตน (identity)
ผู้ที่ขาดเอกลักษณ์ไม่มีจุดยืน ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ขาดหลักการ ไม่สามารถใช้เหตุผล
มีแนวโน้มจะถูกชักจูงให้ทำตามหรือลอกเลียนแบบผู้อื่น ได้ง่ายกว่าคนที่มีเอกลักษณ์
3. วัย
วัยเด็กเป็นวัยที่มีโอกาสถูกชักจูงโน้มน้าวให้เชื่อและทำตามบุคคลที่ใกล้ชิด
หรือมีความสำคัญในชีวิตได้ง่ายกว่าวัยผู้ใหญ่
ส่วนวัยรุ่นมักได้รับอิทธิพลจากเพื่อนมากที่สุด เพราะมีความต้องการการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนมากกว่าวัยอื่น
4. การขาดความรู้และขาดประสบการณ์
ผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา หรือผู้มีโอกาส แต่ขาดความสนใจในการแสวงหาความรู้
ย่อมมีโอกาสถูกชักนำให้หลงผิดได้ง่ายกว่า คนมีความรู้และประสบการณ์
5. กิเลส
ความโลภ บางครั้งทำให้คนถูกหลอกได้ง่ายขึ้น
พวกมิจฉาชีพจึงสามารถใช้อุบาย ตกทองหากินมาได้จนถึงปัจจุบัน แชร์ลูกโซ่ก็ไม่มีวันหมดไปจากประเทศนี้
6. ความเอนเอียงที่จะเชื่อในสิ่งนั้น
คนที่อยากได้ผู้วิเศษมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไว้ เป็นที่พึ่งกราบไหว้บูชา
มีแนวโน้มจะถูกผู้อวดอ้างว่ามีคุณสมบัติดังกล่าวหลอกได้ง่าย
7. สถานการณ์และสิ่งแวดล้อม
ในภาวะที่บ้านเมืองมีเหตุการณ์ไม่สงบ จิตใจของประชาชนระส่ำระสาย การเชื่อถือข่าวลือมักเกิดขึ้นได้ง่าย
การป้องกันแก้ไข ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง หรือชักนำไปในทางที่ผิด
ต้องเริ่มต้นตั้งแต่การเลี้ยงดูเด็ก ให้มีพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่ถูกต้องเหมาะสม
เด็กควรได้รับการส่งเสริมให้มีพัฒนาการทางความคิดที่เป็นอิสระ มีการใช้เหตุผล รู้จักไตร่ตรอง
มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่พึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป มีเอกลักษณ์ของตนเอง มีจุดยืนที่มั่นคง
และมีเป้าหมายในชีวิตที่สมเหตุผล
สิ่งเหล่านี้ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ตั้งแต่เล็กจนใหญ่ อย่างสม่ำเสมอ มิใช่สามารถสร้างได้ ในระยะเวลาอันสั้น
จะมาเข้ารับการอบรมหลักสูตรพัฒนาบุคลิกภาพตอนโต ก็ไม่ค่อยได้ผล ไม่เหมือนสร้างมาตั้งแต่เล็กๆ
การรณรงค์ให้เด็ก และวัยรุ่นไม่ถูกชักนำจากเพื่อนหรือบุคคลอื่นให้ตกเป็นทาสยาเสพติด
เขาจึงใช้คำขวัญว่า "Just say no" เป็นการสอนให้รู้จักปฏิเสธและเป็นตัวของตัวเองไม่ต้องไปตามอย่างใคร
หรือเกรงใจใครในเรื่องที่ไม่สมควร
ประชาชนทั่วไปควรพัฒนาตนเองให้มีความรอบรู้ ด้วยการอ่านหนังสือที่มีประโยชน์
ติดตามข่าวสารบ้านเมืองที่มีสาระ อย่าสนใจแต่เพียงความบันเทิง
การมีข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ร่วมกับการใช้สติปัญญาไตร่ตรองในเรื่องต่างๆ
จะช่วยให้ไม่ถูกชักนำไปในทางงมงาย หรือตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่ประสงค์ดีต่อเรา
หากพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ด้วยเหตุผล ก็จะเกิดความระมัดระวังและรอบคอบในการเชื่อสิ่งต่างๆ
ไม่หลงเชื่อคำโฆษณา หรือการหลอกลวงผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งการติดต่อทางตรง
ถ้าใช้วิจารณญาณให้ดี อาจคิดได้ว่า สินค้าที่โฆษณามากๆ นั้น
ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระ ค่าโฆษณาไว้ในต้นทุนด้วย
อันที่จริงพระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้เป็นอย่างดีแล้วว่า อะไรไม่ควรเชื่อ และอะไรควรเชื่อ
การปฏิบัติตามธรรมของศาสนาที่ใช้ปัญญาและสติเป็นที่ตั้งย่อมเป็นหนทางไปสู่การดับทุกข์
ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับการสร้างเสริมสุขภาพจิต
โดย นพ.เกษม ตันติผลาชีวะ
ฝึกสมอง...ให้เป็นคนเก่ง
อย่าทำงานซ้ำซ้อนในเวลาเดียวกันเพราะเกิดการผิดพลาดได้ง่าย
นอกจากนี้ การแข่งขันยังช่วยกระตุ้นสมองให้โลดแล่นอีกด้วย
"การฝึกฝนทำให้คุณเป็นคนเก่ง" นี่คือคำกล่าวของนัก Neuroscientist ชาว สวีเดน โทร์เคล คลิงเบิร์ก ว่า
คนเราควรทำอย่างไรให้ได้ข้อมูลและมีความเข้าใจมากที่สุดโดยที่เราไม่ต้อง ใช้สมองเกินกำลัง
หรือไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย เนื่องจากสมองทำงานอย่างมีประสิทธิมากที่สุดในระยะเวลาที่จำกัด
แต่เราก็มีวิธีที่จะใช้ศูนย์ความคิดของเราให้มีประโยชน์มากที่สุด เช่นกัน
คุณกำลังเดินทางไปพบปะพูดคุยธุรกิจ
และระหว่างทางก็ครุ่นคิดวิธีการเจรจาตกลง ต่างๆ โทรศัพท์หรือเขียนจดหมาย
แต่การทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกันมีความเสี่ยงกับความผิดพลาดในการส่งอีเมล์ผิดให้กับคู่ เจรจา
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำ ให้ทำงานหรือจัดการธุระใดๆ ก็ตามให้เป็นไปตามลำดับ
อย่าทำงานหลายอย่างในคราวเดียวกัน เพื่อป้องกันความผิดพลาด
สัญชาตญาณบอกคุณได้ดีกว่าสมอง
ในแต่ละวันเรามีเรื่องต้องตัดสินใจประมาณ 20,000 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องในชั่วพริบตา
และคนเป็นจำนวนมากที่ตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว เช่น การทักทายและการออกความเห็นในที่ประชุม
โดยเฉพาะ คนที่ทำงานในออฟฟิศ มีเงื่อนไขของเวลาเป็นแรงกดดันในการตัดสินใจ
นักจิตวิทยาจึงแนะนำ ให้ฟังเสียงความรู้สึกของตัวเองหรือสัญชาติญาณ ซึ่งเรานำไปใช้โดยไม่รู้ตัว
ซึ่งก็ทำให้มีทางเลือกที่เร็วกว่าและดีกว่าในการตัดสินใจแบบสายฟ้าแลบ
เนื่องจากการตัดสินใจแบบในชั่วพริบตาจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์
แต่ในกรณีที่คุณต้องตัดสินใจเรื่องที่ไม่เชี่ยวชาญก็ควรปรึกษาและขอความเห็น จากผู้ใหญ่ที่มีความรู้
และประสบการณ์จะดีกว่า
กลิ่นกาแฟช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง
จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพราะมีงานด่วน ยังรู้สึกงัวเงีย สมองยังไม่แล่นเพราะนาฬิกาชีวิตยังปรับไม่ทัน
ความจำเป็นของคุณต้องการสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ กาแฟสักหนึ่งถ้วย
ลำพังกลิ่นกาแฟในตอนเช้าก็มีผลกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว นี่คือผลการศึกษาจากนักวิจัยชาวญี่ปุ่น
เพึ่อนร่วมงานของคุณก็คงยินดีที่จะได้กาแฟสักหนึ่งถ้วยจากคุณและคุณก็ยังได้ สูดกลิ่นกาแฟไปด้วย
การแข่งขันกระตุ้นสมอง
ถ้าเรารู้ว่า เราต้องแข่งขันกับใครสักคน มันจะกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปทั่วในบริเวณสมองหรือที่เรียกกันว่า
"ศูนย์รับรางวัล" เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอนน์ ในประเทศเยอรมนีโดยการให้อาสาสมัครแข่งขันกัน
หากใครพิมพ์ถูกจะได้รางวัล 120 ยูโร และมีการแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของสมองจากภาพสแกน
ผลก็คือ มีเลือดไหลเวียนสูงสุดที่ศูนย์รางวัลของผู้เข้าแข่งขันระหว่างตอบคำถาม
สมาธิเพิ่มเมื่อมีงาน
เสียงโทรศัพท์ ผู้ร่วมงานหัวเราะ มีอีเมล์ที่ต้องตอบ งานหลายๆ อย่างประเดประดังเข้ามา
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าคุณจะตั้งสมาธิได้ ทั้งนี้ นักจิตวิทยาชาวอังกฤษพบว่า
การมีสมาธิขึ้นอยู่กับงานยากหรือง่าย หากเป็นงานง่ายๆ ก็ขึ้นอยู่กับคุณที่จะคุมสมาธิตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน
หากเป็นงานยาก สมองจะมีสมาธิกับงานอย่างอัตโนมัติ แต่ถ้าเมึ่อไหร่ที่คุณมีอารมณ์เศร้า
ก็อย่าจมปลักกับงานที่ทำประจำเพราะมันอันตรายกับสมองในการใช้งานเกินกำลัง
คุณควรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บ้าง
เพราะมีการพิสูจน์มาแล้วว่า โครงสร้างสมองของผู้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้เรียนสิ่งใหม่ๆ
และกระบวนการเรียนรู้ทุกอย่างจะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมองหรือทำให้แข็งแรง ขึ้น
และยังก่อให้เกิดเซลล์ใหม่ๆ ด้วย ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ
สมองทำงานเหมือน Google
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียตั้งข้อสันนิษฐานว่า เมื่อคนคิดถึงคำ
ศูนย์ความคิดของเราจะทำหน้าที่คล้ายๆ กับ Google คือ คิดตามลำดับ เช่น 1 2 3
สมองต้องออกกำลัง
แม้เราจะไม่ค่อยได้บริหารสมองด้วยการคำนวณหรือทายปริศนาอักษรไขว้ เราก็สามารถช่วยให้สมองฟิตได้
เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ชี้ให้เห็นว่า
การมีสังคมกับผู้คนสามารถช่วยให้สมองตื่นตัวได้เหมือนการบริหารสมอง
ที่มา Lisa
นอกจากนี้ การแข่งขันยังช่วยกระตุ้นสมองให้โลดแล่นอีกด้วย
"การฝึกฝนทำให้คุณเป็นคนเก่ง" นี่คือคำกล่าวของนัก Neuroscientist ชาว สวีเดน โทร์เคล คลิงเบิร์ก ว่า
คนเราควรทำอย่างไรให้ได้ข้อมูลและมีความเข้าใจมากที่สุดโดยที่เราไม่ต้อง ใช้สมองเกินกำลัง
หรือไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย เนื่องจากสมองทำงานอย่างมีประสิทธิมากที่สุดในระยะเวลาที่จำกัด
แต่เราก็มีวิธีที่จะใช้ศูนย์ความคิดของเราให้มีประโยชน์มากที่สุด เช่นกัน
คุณกำลังเดินทางไปพบปะพูดคุยธุรกิจ
และระหว่างทางก็ครุ่นคิดวิธีการเจรจาตกลง ต่างๆ โทรศัพท์หรือเขียนจดหมาย
แต่การทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกันมีความเสี่ยงกับความผิดพลาดในการส่งอีเมล์ผิดให้กับคู่ เจรจา
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำ ให้ทำงานหรือจัดการธุระใดๆ ก็ตามให้เป็นไปตามลำดับ
อย่าทำงานหลายอย่างในคราวเดียวกัน เพื่อป้องกันความผิดพลาด
สัญชาตญาณบอกคุณได้ดีกว่าสมอง
ในแต่ละวันเรามีเรื่องต้องตัดสินใจประมาณ 20,000 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องในชั่วพริบตา
และคนเป็นจำนวนมากที่ตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว เช่น การทักทายและการออกความเห็นในที่ประชุม
โดยเฉพาะ คนที่ทำงานในออฟฟิศ มีเงื่อนไขของเวลาเป็นแรงกดดันในการตัดสินใจ
นักจิตวิทยาจึงแนะนำ ให้ฟังเสียงความรู้สึกของตัวเองหรือสัญชาติญาณ ซึ่งเรานำไปใช้โดยไม่รู้ตัว
ซึ่งก็ทำให้มีทางเลือกที่เร็วกว่าและดีกว่าในการตัดสินใจแบบสายฟ้าแลบ
เนื่องจากการตัดสินใจแบบในชั่วพริบตาจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์
แต่ในกรณีที่คุณต้องตัดสินใจเรื่องที่ไม่เชี่ยวชาญก็ควรปรึกษาและขอความเห็น จากผู้ใหญ่ที่มีความรู้
และประสบการณ์จะดีกว่า
กลิ่นกาแฟช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง
จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพราะมีงานด่วน ยังรู้สึกงัวเงีย สมองยังไม่แล่นเพราะนาฬิกาชีวิตยังปรับไม่ทัน
ความจำเป็นของคุณต้องการสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ กาแฟสักหนึ่งถ้วย
ลำพังกลิ่นกาแฟในตอนเช้าก็มีผลกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว นี่คือผลการศึกษาจากนักวิจัยชาวญี่ปุ่น
เพึ่อนร่วมงานของคุณก็คงยินดีที่จะได้กาแฟสักหนึ่งถ้วยจากคุณและคุณก็ยังได้ สูดกลิ่นกาแฟไปด้วย
การแข่งขันกระตุ้นสมอง
ถ้าเรารู้ว่า เราต้องแข่งขันกับใครสักคน มันจะกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปทั่วในบริเวณสมองหรือที่เรียกกันว่า
"ศูนย์รับรางวัล" เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอนน์ ในประเทศเยอรมนีโดยการให้อาสาสมัครแข่งขันกัน
หากใครพิมพ์ถูกจะได้รางวัล 120 ยูโร และมีการแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของสมองจากภาพสแกน
ผลก็คือ มีเลือดไหลเวียนสูงสุดที่ศูนย์รางวัลของผู้เข้าแข่งขันระหว่างตอบคำถาม
สมาธิเพิ่มเมื่อมีงาน
เสียงโทรศัพท์ ผู้ร่วมงานหัวเราะ มีอีเมล์ที่ต้องตอบ งานหลายๆ อย่างประเดประดังเข้ามา
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าคุณจะตั้งสมาธิได้ ทั้งนี้ นักจิตวิทยาชาวอังกฤษพบว่า
การมีสมาธิขึ้นอยู่กับงานยากหรือง่าย หากเป็นงานง่ายๆ ก็ขึ้นอยู่กับคุณที่จะคุมสมาธิตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน
หากเป็นงานยาก สมองจะมีสมาธิกับงานอย่างอัตโนมัติ แต่ถ้าเมึ่อไหร่ที่คุณมีอารมณ์เศร้า
ก็อย่าจมปลักกับงานที่ทำประจำเพราะมันอันตรายกับสมองในการใช้งานเกินกำลัง
คุณควรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บ้าง
เพราะมีการพิสูจน์มาแล้วว่า โครงสร้างสมองของผู้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้เรียนสิ่งใหม่ๆ
และกระบวนการเรียนรู้ทุกอย่างจะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมองหรือทำให้แข็งแรง ขึ้น
และยังก่อให้เกิดเซลล์ใหม่ๆ ด้วย ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ
สมองทำงานเหมือน Google
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียตั้งข้อสันนิษฐานว่า เมื่อคนคิดถึงคำ
ศูนย์ความคิดของเราจะทำหน้าที่คล้ายๆ กับ Google คือ คิดตามลำดับ เช่น 1 2 3
สมองต้องออกกำลัง
แม้เราจะไม่ค่อยได้บริหารสมองด้วยการคำนวณหรือทายปริศนาอักษรไขว้ เราก็สามารถช่วยให้สมองฟิตได้
เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ชี้ให้เห็นว่า
การมีสังคมกับผู้คนสามารถช่วยให้สมองตื่นตัวได้เหมือนการบริหารสมอง
ที่มา Lisa
ฝึกสมอง...ให้เป็นคนเก่ง
อย่าทำงานซ้ำซ้อนในเวลาเดียวกันเพราะเกิดการผิดพลาดได้ง่าย
นอกจากนี้ การแข่งขันยังช่วยกระตุ้นสมองให้โลดแล่นอีกด้วย
"การฝึกฝนทำให้คุณเป็นคนเก่ง" นี่คือคำกล่าวของนัก Neuroscientist ชาว สวีเดน โทร์เคล คลิงเบิร์ก ว่า
คนเราควรทำอย่างไรให้ได้ข้อมูลและมีความเข้าใจมากที่สุดโดยที่เราไม่ต้อง ใช้สมองเกินกำลัง
หรือไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย เนื่องจากสมองทำงานอย่างมีประสิทธิมากที่สุดในระยะเวลาที่จำกัด
แต่เราก็มีวิธีที่จะใช้ศูนย์ความคิดของเราให้มีประโยชน์มากที่สุด เช่นกัน
คุณกำลังเดินทางไปพบปะพูดคุยธุรกิจ
และระหว่างทางก็ครุ่นคิดวิธีการเจรจาตกลง ต่างๆ โทรศัพท์หรือเขียนจดหมาย
แต่การทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกันมีความเสี่ยงกับความผิดพลาดในการส่งอีเมล์ผิดให้กับคู่ เจรจา
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำ ให้ทำงานหรือจัดการธุระใดๆ ก็ตามให้เป็นไปตามลำดับ
อย่าทำงานหลายอย่างในคราวเดียวกัน เพื่อป้องกันความผิดพลาด
สัญชาตญาณบอกคุณได้ดีกว่าสมอง
ในแต่ละวันเรามีเรื่องต้องตัดสินใจประมาณ 20,000 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องในชั่วพริบตา
และคนเป็นจำนวนมากที่ตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว เช่น การทักทายและการออกความเห็นในที่ประชุม
โดยเฉพาะ คนที่ทำงานในออฟฟิศ มีเงื่อนไขของเวลาเป็นแรงกดดันในการตัดสินใจ
นักจิตวิทยาจึงแนะนำ ให้ฟังเสียงความรู้สึกของตัวเองหรือสัญชาติญาณ ซึ่งเรานำไปใช้โดยไม่รู้ตัว
ซึ่งก็ทำให้มีทางเลือกที่เร็วกว่าและดีกว่าในการตัดสินใจแบบสายฟ้าแลบ
เนื่องจากการตัดสินใจแบบในชั่วพริบตาจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์
แต่ในกรณีที่คุณต้องตัดสินใจเรื่องที่ไม่เชี่ยวชาญก็ควรปรึกษาและขอความเห็น จากผู้ใหญ่ที่มีความรู้
และประสบการณ์จะดีกว่า
กลิ่นกาแฟช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง
จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพราะมีงานด่วน ยังรู้สึกงัวเงีย สมองยังไม่แล่นเพราะนาฬิกาชีวิตยังปรับไม่ทัน
ความจำเป็นของคุณต้องการสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ กาแฟสักหนึ่งถ้วย
ลำพังกลิ่นกาแฟในตอนเช้าก็มีผลกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว นี่คือผลการศึกษาจากนักวิจัยชาวญี่ปุ่น
เพึ่อนร่วมงานของคุณก็คงยินดีที่จะได้กาแฟสักหนึ่งถ้วยจากคุณและคุณก็ยังได้ สูดกลิ่นกาแฟไปด้วย
การแข่งขันกระตุ้นสมอง
ถ้าเรารู้ว่า เราต้องแข่งขันกับใครสักคน มันจะกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปทั่วในบริเวณสมองหรือที่เรียกกันว่า
"ศูนย์รับรางวัล" เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอนน์ ในประเทศเยอรมนีโดยการให้อาสาสมัครแข่งขันกัน
หากใครพิมพ์ถูกจะได้รางวัล 120 ยูโร และมีการแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของสมองจากภาพสแกน
ผลก็คือ มีเลือดไหลเวียนสูงสุดที่ศูนย์รางวัลของผู้เข้าแข่งขันระหว่างตอบคำถาม
สมาธิเพิ่มเมื่อมีงาน
เสียงโทรศัพท์ ผู้ร่วมงานหัวเราะ มีอีเมล์ที่ต้องตอบ งานหลายๆ อย่างประเดประดังเข้ามา
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าคุณจะตั้งสมาธิได้ ทั้งนี้ นักจิตวิทยาชาวอังกฤษพบว่า
การมีสมาธิขึ้นอยู่กับงานยากหรือง่าย หากเป็นงานง่ายๆ ก็ขึ้นอยู่กับคุณที่จะคุมสมาธิตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน
หากเป็นงานยาก สมองจะมีสมาธิกับงานอย่างอัตโนมัติ แต่ถ้าเมึ่อไหร่ที่คุณมีอารมณ์เศร้า
ก็อย่าจมปลักกับงานที่ทำประจำเพราะมันอันตรายกับสมองในการใช้งานเกินกำลัง
คุณควรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บ้าง
เพราะมีการพิสูจน์มาแล้วว่า โครงสร้างสมองของผู้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้เรียนสิ่งใหม่ๆ
และกระบวนการเรียนรู้ทุกอย่างจะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมองหรือทำให้แข็งแรง ขึ้น
และยังก่อให้เกิดเซลล์ใหม่ๆ ด้วย ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ
สมองทำงานเหมือน Google
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียตั้งข้อสันนิษฐานว่า เมื่อคนคิดถึงคำ
ศูนย์ความคิดของเราจะทำหน้าที่คล้ายๆ กับ Google คือ คิดตามลำดับ เช่น 1 2 3
สมองต้องออกกำลัง
แม้เราจะไม่ค่อยได้บริหารสมองด้วยการคำนวณหรือทายปริศนาอักษรไขว้ เราก็สามารถช่วยให้สมองฟิตได้
เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ชี้ให้เห็นว่า
การมีสังคมกับผู้คนสามารถช่วยให้สมองตื่นตัวได้เหมือนการบริหารสมอง
ที่มา Lisa
นอกจากนี้ การแข่งขันยังช่วยกระตุ้นสมองให้โลดแล่นอีกด้วย
"การฝึกฝนทำให้คุณเป็นคนเก่ง" นี่คือคำกล่าวของนัก Neuroscientist ชาว สวีเดน โทร์เคล คลิงเบิร์ก ว่า
คนเราควรทำอย่างไรให้ได้ข้อมูลและมีความเข้าใจมากที่สุดโดยที่เราไม่ต้อง ใช้สมองเกินกำลัง
หรือไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย เนื่องจากสมองทำงานอย่างมีประสิทธิมากที่สุดในระยะเวลาที่จำกัด
แต่เราก็มีวิธีที่จะใช้ศูนย์ความคิดของเราให้มีประโยชน์มากที่สุด เช่นกัน
คุณกำลังเดินทางไปพบปะพูดคุยธุรกิจ
และระหว่างทางก็ครุ่นคิดวิธีการเจรจาตกลง ต่างๆ โทรศัพท์หรือเขียนจดหมาย
แต่การทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกันมีความเสี่ยงกับความผิดพลาดในการส่งอีเมล์ผิดให้กับคู่ เจรจา
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำ ให้ทำงานหรือจัดการธุระใดๆ ก็ตามให้เป็นไปตามลำดับ
อย่าทำงานหลายอย่างในคราวเดียวกัน เพื่อป้องกันความผิดพลาด
สัญชาตญาณบอกคุณได้ดีกว่าสมอง
ในแต่ละวันเรามีเรื่องต้องตัดสินใจประมาณ 20,000 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องในชั่วพริบตา
และคนเป็นจำนวนมากที่ตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว เช่น การทักทายและการออกความเห็นในที่ประชุม
โดยเฉพาะ คนที่ทำงานในออฟฟิศ มีเงื่อนไขของเวลาเป็นแรงกดดันในการตัดสินใจ
นักจิตวิทยาจึงแนะนำ ให้ฟังเสียงความรู้สึกของตัวเองหรือสัญชาติญาณ ซึ่งเรานำไปใช้โดยไม่รู้ตัว
ซึ่งก็ทำให้มีทางเลือกที่เร็วกว่าและดีกว่าในการตัดสินใจแบบสายฟ้าแลบ
เนื่องจากการตัดสินใจแบบในชั่วพริบตาจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์
แต่ในกรณีที่คุณต้องตัดสินใจเรื่องที่ไม่เชี่ยวชาญก็ควรปรึกษาและขอความเห็น จากผู้ใหญ่ที่มีความรู้
และประสบการณ์จะดีกว่า
กลิ่นกาแฟช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง
จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพราะมีงานด่วน ยังรู้สึกงัวเงีย สมองยังไม่แล่นเพราะนาฬิกาชีวิตยังปรับไม่ทัน
ความจำเป็นของคุณต้องการสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ กาแฟสักหนึ่งถ้วย
ลำพังกลิ่นกาแฟในตอนเช้าก็มีผลกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว นี่คือผลการศึกษาจากนักวิจัยชาวญี่ปุ่น
เพึ่อนร่วมงานของคุณก็คงยินดีที่จะได้กาแฟสักหนึ่งถ้วยจากคุณและคุณก็ยังได้ สูดกลิ่นกาแฟไปด้วย
การแข่งขันกระตุ้นสมอง
ถ้าเรารู้ว่า เราต้องแข่งขันกับใครสักคน มันจะกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปทั่วในบริเวณสมองหรือที่เรียกกันว่า
"ศูนย์รับรางวัล" เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอนน์ ในประเทศเยอรมนีโดยการให้อาสาสมัครแข่งขันกัน
หากใครพิมพ์ถูกจะได้รางวัล 120 ยูโร และมีการแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของสมองจากภาพสแกน
ผลก็คือ มีเลือดไหลเวียนสูงสุดที่ศูนย์รางวัลของผู้เข้าแข่งขันระหว่างตอบคำถาม
สมาธิเพิ่มเมื่อมีงาน
เสียงโทรศัพท์ ผู้ร่วมงานหัวเราะ มีอีเมล์ที่ต้องตอบ งานหลายๆ อย่างประเดประดังเข้ามา
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าคุณจะตั้งสมาธิได้ ทั้งนี้ นักจิตวิทยาชาวอังกฤษพบว่า
การมีสมาธิขึ้นอยู่กับงานยากหรือง่าย หากเป็นงานง่ายๆ ก็ขึ้นอยู่กับคุณที่จะคุมสมาธิตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน
หากเป็นงานยาก สมองจะมีสมาธิกับงานอย่างอัตโนมัติ แต่ถ้าเมึ่อไหร่ที่คุณมีอารมณ์เศร้า
ก็อย่าจมปลักกับงานที่ทำประจำเพราะมันอันตรายกับสมองในการใช้งานเกินกำลัง
คุณควรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บ้าง
เพราะมีการพิสูจน์มาแล้วว่า โครงสร้างสมองของผู้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้เรียนสิ่งใหม่ๆ
และกระบวนการเรียนรู้ทุกอย่างจะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมองหรือทำให้แข็งแรง ขึ้น
และยังก่อให้เกิดเซลล์ใหม่ๆ ด้วย ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ
สมองทำงานเหมือน Google
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียตั้งข้อสันนิษฐานว่า เมื่อคนคิดถึงคำ
ศูนย์ความคิดของเราจะทำหน้าที่คล้ายๆ กับ Google คือ คิดตามลำดับ เช่น 1 2 3
สมองต้องออกกำลัง
แม้เราจะไม่ค่อยได้บริหารสมองด้วยการคำนวณหรือทายปริศนาอักษรไขว้ เราก็สามารถช่วยให้สมองฟิตได้
เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ชี้ให้เห็นว่า
การมีสังคมกับผู้คนสามารถช่วยให้สมองตื่นตัวได้เหมือนการบริหารสมอง
ที่มา Lisa
เคล็ดลับในการสร้างพลังความจำ
ความสามารถในการจำของมนุษย์ มีความพิเศษเหนือสัตว์อื่นๆ
ความจำ เป็นสิ่งวิเศษที่เราสามารถเรียกคืนประสบการณ์เก่าๆ กลับมาอีกครั้ง
หากไม่มีความจำ เราคงลืมเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต
และเราต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่เหมือนเด็กอ่อนที่เพิ่งเกิดทุกวัน
คล้าย ๆ กับคนแก่ที่ความจำเลอะเลือน กลับกลายเป็นเหมือนเด็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้
เพราะความจดจำได้ เราจึงเรียนรู้ได้ โดยเอาสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตมาวิเคราะห์และปรับปรุง
เราสามารถเรียกคืนความจำเก่า ๆ จากจิตใต้สำนึกเมื่อเราต้องการ
และจากความรู้อันนี้ทำให้เรา สามารถทำงานบางอย่างที่เราได้เรียนมาอย่างช่ำชอง
หรือหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่ไม่ดีได้
จิตใต้สำนึกของเรา บันทึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน
เพราะทุกวันที่เราตื่นนอน เราจำได้ว่าเมื่อคืนเรานอนหลับดีหรือไม่
ความจำ เป็นสิ่งไม่ตาย แต่สถิตถาวรภายใต้จิตสำนึก
หากเรามีการฝึกฝนที่ดี เราสามารถเรียกความจำเก่าๆ ในชีวิตปัจจุบัน และแม้แต่ในอดีตชาติก่อนๆ กลับมาได้
ความจำของเราถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือความจำชั่วคราว และความจำถาวร
ความจำชั่วคราวของเรา จำได้ไกลเพียงแค่ในชีวิตปัจจุบัน
ส่วนความจำถาวร บันทึกทุกสิ่งที่เกิดกับจิตวิญญานของเราในทุกภพทุกชาติ
บางคนสามารถจำได้แค่เหตุการณ์ในชีวิตนี้ แต่บางคนจำได้ทั้งไกลถึงอดีตชาติ
แต่บางคนจำไม่ได้แม้เหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปเมื่อไม่กี่วัน
คุณภาพของการจำ แตกต่างกันไป แล้วแต่คุณภาพของสมองแต่ละคน
การศึกษา การฝึกสมาธิ และการฝึกฝนความจำในแบบต่างๆ สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการจำได้
ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ต้องเป็นคนที่มีความจำที่ดี
การบริหารร่างกายเพิ่มความจำ
ท่าการบริหารร่างกายที่เหมาะสม เช่น การฝึกโยคะ การรำมวยจีน การเดินจงกรม สามารถพัฒนาความจำได้
ในปัจจุบัน เครื่องจักรเข้าทดแทนทุกส่วนของการใช้แรงงานในชีวิตประจำวัน
ทำให้คนเราเกิดความเกียจคร้านในการการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ
จึงทำให้บางคนคิดค้นหาอุปกรณ์ออกกำลังภายในบ้านขึ้น เพื่อการบริหารร่างกาย
แต่เราควรให้มีสติกำกับการเคลื่อนไหวร่างกายนั้นๆ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เพียงแค่ก้มงอตัวไปมา
เพราะการที่มีสติและสมาธิในการเคลื่อนไหวในทุกอริยาบท
ทำให้เราสามารถควบคุมและส่งพลังงานไปยังส่วนต่างๆของ อวัยวะในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
เช่นเดียวกับการฝึกกังฟูของจีน
อาหารที่เพิ่มพลังความจำ
อาหารบางชนิดบำรุงสมอง บางชนิดบำรุงกล้ามเนื้อ บางชนิดบำรุงประสาท
และแต่ละชนิดบำรุงแต่ละส่วนของอวัยวะ หากเราต้องการเพิ่มพลังสมอง เราก็ต้องทานอาหารที่บำรุงสมอง
โดยเฉพาะโปรตีนเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงสมอง เมล็ดอัลมอลด์นำมาบดผสมกับน้ำมะนาว หรือ น้ำส้ม
และดื่มก่อนนอนทุกคืนจะช่วยให้ความจำดีขึ้น การดื่มนม และกินเนยแข็ง (Cheese) จึงเพิ่มพลังสมอง
เมื่อใดคุณมีความกังวล อ่อนล้า ลองดื่มน้ำมะนาวสัก 1-2 แก้ว เอาน้ำเย็นลูบหัว
แล้วนำมาแตะกระหม่อม คิ้ว จมูก และหู จะทำให้เส้นประสาทสงบลง และทำให้ความจำดีขึ้นทันที
หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เพราะมันจะไปตกตะกอนเป็นคอเลสเตอร์รอล ตามผนังเส้นเลือดแดง
ผู้ถือศีลสมาธิบางท่านที่เคร่งครัดมักจะกินแต่อาหารมังสวิรัติ
เพราะเชื่อว่าเนื้อสัตว์ เช่นเนื้อหมูและเนื้อวัว ทำลายสุขภาพ เพราะมีกรดยูริคสูง ทั้งหมูและวัวมีความจำที่ต่ำ
เมื่อเรากินเนื้อของสัตว์เหล่านี้ มันจะนำไปสร้างร่างกายและจิตของเราตามลักษณะของสัตว์เหล่านี้ด้วย
การฝึกบริหารความจำ
ความจำที่ดีเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน คนที่มีร่างกายที่ไม่แข็งแรงก็สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้
ชีวิตเราไม่ว่าด้านใดๆก็สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ถ้าเรามีความพยายาม
แม้ความผิดปรกติของร่างกายทางกรรมพันธุ์ก็มีการพิสูจน์กันแล้วว่า สามารถแก้ได้ด้วยการฝึกสมาธิ
คนส่วนมากไม่รู้จักการฝึกสมาธิ ทำให้ความสามารถของสมองที่แฝงเร้นอยู่ ไม่ถูกนำมาใช้ และ
หากเราขาดการพัฒนาทางจิตหรือฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ นานเข้าก็นำไปสู่ความเสียหายทางสมองและจิตได้
เพราะสมองเหมือนเช่นส่วนอื่นของร่างกาย ต้องการออกกำลัง บริหารอยู่เสมอ เพื่อคงให้อยู่ในสภาพที่ดี
การพัฒนาความจำไม่เพียงแต่เราต้องกินอาหารที่บำรุงสุขภาพแล้ว เรายังต้องฝึกจิต
พยายามใช้ความจำ ฝึกการจำ เช่นมองภาพใดภาพหนึ่ง อาจเป็นภาพพุทธรูป หรือแม้แต่จะเป็นภาพวิวธรรมดาก็ได้
แล้วลองหลับตานึกภาพนั้นในใจ
พยายามนึกถึงเพลงหรือบทสวดมนต์ แล้วร้องในใจ หรือสวดในใจเพื่อพัฒนาความจำ
สิ่งที่ทำด้วยอารมณ์ ก็สามารถพัฒนาจิตใจ
เพราะทุกคนจำเหตุการณ์ในชีวิตตอนที่ดีใจที่สุด และเสียใจที่สุดได้เสมอ
เนื่องจากความรู้สึกตั้งอยู่ในส่วนลึกของความจำ
ฉะนั้น การแต่งโคลงกลอน หรือแม้แต่การฝึกบวกเลข ลบเลขในใจ
ก็เป็นวิธีที่ดีสำหรับพัฒนาความจำ และส่งเสริมสมาธิ
การฝึกสมาธิเสริมสร้างความจำ
การเพิ่มพลังความจำ เราต้องทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจมั่น คนส่วนมากทำทุกอย่างแบบไร้สติ
การกระทำและความคิด จึงมีช่องว่างที่ไม่เชื่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเหตุให้คนส่วนมากจำอะไรได้ไม่ได้ดี
เราควรทำกิจการงานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ทำงานก็ทำด้วยความตั้งใจ เรียนก็ฟังครูสอนด้วยความตั้งใจ
จะเล่นกีฬาก็เล่นด้วยความตั้งใจ เมื่อฝึกสมาธิก็ไม่ทิ้งคำบริกรรม
สมาธิคือการตั้งใจมั่น มั่นในการกิน เดิน นอน นั่ง คด คู้ เหยียด ทุกอริยาบท
ความจำได้หมายรู้มีไว้ให้เราระลึกถึงความดีที่เราเคย ก่อ ที่เราเคยสร้าง
การฟื้นความจำที่เราเคยเกลียดใคร โกรธใคร อาฆาตใคร
เป็นการใช้ความจำในทางที่ไม่ถูกต้อง และยัง ก่อให้เกิดโทษ ตรงกันข้ามเราควรฟื้นความจำ ในแต่สิ่งที่ดี
แต่บางครั้งการจำเหตุการณ์ที่ทำให้เราเกิดทุกข์ ที่เราเคยทำผิดพลาดไป แล้วนำประสบการณ์นั้นมาปรับปรุงแก้ไข
ย่อมเป็นการใช้ความจำในทางที่ถูกต้อง แต่อย่าจมปรักอยู่ความความผิดหวังในในอดีตซึ่งทำให้เราไม่ก้าวหน้า
ไม่ควรฟื้นความจำที่ไม่ดีเหล่านั้นจะดีที่สุด หากนึกขึ้นได้เราเพียงแต่หยุดคิดถึงมัน
จงฝึกคิดแต่สิ่งที่ดี และคุณความดีที่เราทำ
เพราะความจำสุดท้ายก่อนสิ้นใจ เป็นพลังงานสุดท้ายที่ขับเคลื่อนเราไปสู่ภพใหม่
และการระลึกได้ในความดีที่เราทำในขณะนั้นเท่านั้น จึงจะนำเราไปสู่สุขคติภูมิ
ที่มา
http://www.samathi.com/meditation/showthread.php?t=888
http://board.agalico.com/showthread.php?t=4467
ภาพจาก http://www.123rf.com/photo_331966.html
ความจำ เป็นสิ่งวิเศษที่เราสามารถเรียกคืนประสบการณ์เก่าๆ กลับมาอีกครั้ง
หากไม่มีความจำ เราคงลืมเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต
และเราต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่เหมือนเด็กอ่อนที่เพิ่งเกิดทุกวัน
คล้าย ๆ กับคนแก่ที่ความจำเลอะเลือน กลับกลายเป็นเหมือนเด็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้
เพราะความจดจำได้ เราจึงเรียนรู้ได้ โดยเอาสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตมาวิเคราะห์และปรับปรุง
เราสามารถเรียกคืนความจำเก่า ๆ จากจิตใต้สำนึกเมื่อเราต้องการ
และจากความรู้อันนี้ทำให้เรา สามารถทำงานบางอย่างที่เราได้เรียนมาอย่างช่ำชอง
หรือหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่ไม่ดีได้
จิตใต้สำนึกของเรา บันทึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน
เพราะทุกวันที่เราตื่นนอน เราจำได้ว่าเมื่อคืนเรานอนหลับดีหรือไม่
ความจำ เป็นสิ่งไม่ตาย แต่สถิตถาวรภายใต้จิตสำนึก
หากเรามีการฝึกฝนที่ดี เราสามารถเรียกความจำเก่าๆ ในชีวิตปัจจุบัน และแม้แต่ในอดีตชาติก่อนๆ กลับมาได้
ความจำของเราถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือความจำชั่วคราว และความจำถาวร
ความจำชั่วคราวของเรา จำได้ไกลเพียงแค่ในชีวิตปัจจุบัน
ส่วนความจำถาวร บันทึกทุกสิ่งที่เกิดกับจิตวิญญานของเราในทุกภพทุกชาติ
บางคนสามารถจำได้แค่เหตุการณ์ในชีวิตนี้ แต่บางคนจำได้ทั้งไกลถึงอดีตชาติ
แต่บางคนจำไม่ได้แม้เหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปเมื่อไม่กี่วัน
คุณภาพของการจำ แตกต่างกันไป แล้วแต่คุณภาพของสมองแต่ละคน
การศึกษา การฝึกสมาธิ และการฝึกฝนความจำในแบบต่างๆ สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการจำได้
ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ต้องเป็นคนที่มีความจำที่ดี
การบริหารร่างกายเพิ่มความจำ
ท่าการบริหารร่างกายที่เหมาะสม เช่น การฝึกโยคะ การรำมวยจีน การเดินจงกรม สามารถพัฒนาความจำได้
ในปัจจุบัน เครื่องจักรเข้าทดแทนทุกส่วนของการใช้แรงงานในชีวิตประจำวัน
ทำให้คนเราเกิดความเกียจคร้านในการการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ
จึงทำให้บางคนคิดค้นหาอุปกรณ์ออกกำลังภายในบ้านขึ้น เพื่อการบริหารร่างกาย
แต่เราควรให้มีสติกำกับการเคลื่อนไหวร่างกายนั้นๆ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เพียงแค่ก้มงอตัวไปมา
เพราะการที่มีสติและสมาธิในการเคลื่อนไหวในทุกอริยาบท
ทำให้เราสามารถควบคุมและส่งพลังงานไปยังส่วนต่างๆของ อวัยวะในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
เช่นเดียวกับการฝึกกังฟูของจีน
อาหารที่เพิ่มพลังความจำ
อาหารบางชนิดบำรุงสมอง บางชนิดบำรุงกล้ามเนื้อ บางชนิดบำรุงประสาท
และแต่ละชนิดบำรุงแต่ละส่วนของอวัยวะ หากเราต้องการเพิ่มพลังสมอง เราก็ต้องทานอาหารที่บำรุงสมอง
โดยเฉพาะโปรตีนเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงสมอง เมล็ดอัลมอลด์นำมาบดผสมกับน้ำมะนาว หรือ น้ำส้ม
และดื่มก่อนนอนทุกคืนจะช่วยให้ความจำดีขึ้น การดื่มนม และกินเนยแข็ง (Cheese) จึงเพิ่มพลังสมอง
เมื่อใดคุณมีความกังวล อ่อนล้า ลองดื่มน้ำมะนาวสัก 1-2 แก้ว เอาน้ำเย็นลูบหัว
แล้วนำมาแตะกระหม่อม คิ้ว จมูก และหู จะทำให้เส้นประสาทสงบลง และทำให้ความจำดีขึ้นทันที
หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เพราะมันจะไปตกตะกอนเป็นคอเลสเตอร์รอล ตามผนังเส้นเลือดแดง
ผู้ถือศีลสมาธิบางท่านที่เคร่งครัดมักจะกินแต่อาหารมังสวิรัติ
เพราะเชื่อว่าเนื้อสัตว์ เช่นเนื้อหมูและเนื้อวัว ทำลายสุขภาพ เพราะมีกรดยูริคสูง ทั้งหมูและวัวมีความจำที่ต่ำ
เมื่อเรากินเนื้อของสัตว์เหล่านี้ มันจะนำไปสร้างร่างกายและจิตของเราตามลักษณะของสัตว์เหล่านี้ด้วย
การฝึกบริหารความจำ
ความจำที่ดีเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน คนที่มีร่างกายที่ไม่แข็งแรงก็สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้
ชีวิตเราไม่ว่าด้านใดๆก็สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ถ้าเรามีความพยายาม
แม้ความผิดปรกติของร่างกายทางกรรมพันธุ์ก็มีการพิสูจน์กันแล้วว่า สามารถแก้ได้ด้วยการฝึกสมาธิ
คนส่วนมากไม่รู้จักการฝึกสมาธิ ทำให้ความสามารถของสมองที่แฝงเร้นอยู่ ไม่ถูกนำมาใช้ และ
หากเราขาดการพัฒนาทางจิตหรือฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ นานเข้าก็นำไปสู่ความเสียหายทางสมองและจิตได้
เพราะสมองเหมือนเช่นส่วนอื่นของร่างกาย ต้องการออกกำลัง บริหารอยู่เสมอ เพื่อคงให้อยู่ในสภาพที่ดี
การพัฒนาความจำไม่เพียงแต่เราต้องกินอาหารที่บำรุงสุขภาพแล้ว เรายังต้องฝึกจิต
พยายามใช้ความจำ ฝึกการจำ เช่นมองภาพใดภาพหนึ่ง อาจเป็นภาพพุทธรูป หรือแม้แต่จะเป็นภาพวิวธรรมดาก็ได้
แล้วลองหลับตานึกภาพนั้นในใจ
พยายามนึกถึงเพลงหรือบทสวดมนต์ แล้วร้องในใจ หรือสวดในใจเพื่อพัฒนาความจำ
สิ่งที่ทำด้วยอารมณ์ ก็สามารถพัฒนาจิตใจ
เพราะทุกคนจำเหตุการณ์ในชีวิตตอนที่ดีใจที่สุด และเสียใจที่สุดได้เสมอ
เนื่องจากความรู้สึกตั้งอยู่ในส่วนลึกของความจำ
ฉะนั้น การแต่งโคลงกลอน หรือแม้แต่การฝึกบวกเลข ลบเลขในใจ
ก็เป็นวิธีที่ดีสำหรับพัฒนาความจำ และส่งเสริมสมาธิ
การฝึกสมาธิเสริมสร้างความจำ
การเพิ่มพลังความจำ เราต้องทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจมั่น คนส่วนมากทำทุกอย่างแบบไร้สติ
การกระทำและความคิด จึงมีช่องว่างที่ไม่เชื่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเหตุให้คนส่วนมากจำอะไรได้ไม่ได้ดี
เราควรทำกิจการงานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ทำงานก็ทำด้วยความตั้งใจ เรียนก็ฟังครูสอนด้วยความตั้งใจ
จะเล่นกีฬาก็เล่นด้วยความตั้งใจ เมื่อฝึกสมาธิก็ไม่ทิ้งคำบริกรรม
สมาธิคือการตั้งใจมั่น มั่นในการกิน เดิน นอน นั่ง คด คู้ เหยียด ทุกอริยาบท
ความจำได้หมายรู้มีไว้ให้เราระลึกถึงความดีที่เราเคย ก่อ ที่เราเคยสร้าง
การฟื้นความจำที่เราเคยเกลียดใคร โกรธใคร อาฆาตใคร
เป็นการใช้ความจำในทางที่ไม่ถูกต้อง และยัง ก่อให้เกิดโทษ ตรงกันข้ามเราควรฟื้นความจำ ในแต่สิ่งที่ดี
แต่บางครั้งการจำเหตุการณ์ที่ทำให้เราเกิดทุกข์ ที่เราเคยทำผิดพลาดไป แล้วนำประสบการณ์นั้นมาปรับปรุงแก้ไข
ย่อมเป็นการใช้ความจำในทางที่ถูกต้อง แต่อย่าจมปรักอยู่ความความผิดหวังในในอดีตซึ่งทำให้เราไม่ก้าวหน้า
ไม่ควรฟื้นความจำที่ไม่ดีเหล่านั้นจะดีที่สุด หากนึกขึ้นได้เราเพียงแต่หยุดคิดถึงมัน
จงฝึกคิดแต่สิ่งที่ดี และคุณความดีที่เราทำ
เพราะความจำสุดท้ายก่อนสิ้นใจ เป็นพลังงานสุดท้ายที่ขับเคลื่อนเราไปสู่ภพใหม่
และการระลึกได้ในความดีที่เราทำในขณะนั้นเท่านั้น จึงจะนำเราไปสู่สุขคติภูมิ
ที่มา
http://www.samathi.com/meditation/showthread.php?t=888
http://board.agalico.com/showthread.php?t=4467
ภาพจาก http://www.123rf.com/photo_331966.html
5 วิธีพัฒนาอารมณ์ให้เข้าสังคมได้
* คุณภาพชีวิต เน้นรู้จักตัวเอง ยอมรับผู้อื่น
ใน ทางจิตวิทยาเชื่อว่า อีคิวหรือความฉลาดทางอารมณ์เป็นสิ่งที่พัฒนาได้
แดเนียล โกลแมน ผู้เขียนเรื่อง ความฉลาดทางอารมณ์ เสนอแนะวิธีการพัฒนาอารมณ์ไว้ 5 ประการ ดังนี้
1. รู้จักอารมณ์ตนเอง
การรู้จักอารมณ์ตนเอง จะเป็นพื้นฐานในการควบคุมอารมณ์เพื่อแสดงออกอย่างเหมาะสม
การรู้จักอารมณ์ตนเองก็คือการรู้ตัว หรือการมีสติในทรรศนะของพุทธศาสนานั่นเอง
ปกติเมื่อเราเกิดอารมณ์ใดๆ ขึ้นมา เราจะตกอยู่ในภาวะใดภาวะหนึ่งใน 3 ภาวะ ดังต่อไปนี้
ถูกครอบงำ หมายถึง
การที่เราไม่สามารถฝืนต่อสภาพอารมณ์นั้นๆ ได้ จึงแสดงพฤติกรรมไปตามสภาพอารมณ์ดังกล่าว
เช่น เมื่อโมโหก็อาจจะมีการขว้างปาข้าวของหรือส่งเสียงดังโดยไม่สนใจใคร
ไม่ยินดียินร้าย หมายถึง
การไม่ยินดียินร้ายต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น หรือทำเป็นละเลยไม่สนใจเพื่อบรรเทาการแสดงอารมณ์
เช่น ทำเป็นไม่ใส่ใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งที่จริงๆ ก็รู้สึกโกรธ
รู้เท่าทัน หมายถึง
การรู้เท่าทันต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น มีสติรู้ว่าควรจะทำอย่างไร จึงจะเหมาะสมที่สุดในขณะที่เกิดอารมณ์นั้นๆ
เช่น โกรธก็รู้ว่าโกรธ แต่ก็สามารถควบคุมความโกรธนั้นได้ ระงับอารมณ์โกรธได้
และหาวิธีจัดการแก้ไขได้อย่างเหมาะสม
ทำอย่างไรให้รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง?
ทบทวน
ถ้ารู้สึกว่าที่ผ่านมาเรามีปัญหาในการแสดงอารมณ์ ลองให้เวลาทบทวนอารมณ์ด้วยใจที่เป็นกลาง
ไม่เข้าข้างตนเองว่าเรามีลักษณะอารมณ์อย่างไร เรามักแสดงออกในรูปแบบไหน
แล้วรู้สึกพอใจ ไม่พอใจอย่างไร คิดว่าเหมาะสมหรือไม่ต่อการแสดงอารมณ์ในลักษณะนั้นๆ
ฝึกสติ
ฝึกให้มีสติและรู้ตัวอยู่เสมอ ว่าขณะนี้เรากำลังรู้สึกอย่างไรกับตัวเอง หรือต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว
สบายใจ ไม่สบายใจ แล้วลองถามตัวเองว่าเราคิดอย่างไรกับความรู้สึกและความคิดนั้น
ความรู้สึกนั้นมีผลอย่างไรกับการแสดงออกของเรา
2. จัดการกับอารมณ์ตนเองได้
การ จัดการกับอารมณ์ตนเองได้ หมายถึง
ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และสามารถแสดงออกไปได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ
แต่การที่เราจะจัดการกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมหรือไม่เพียงใดนั้น
ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมอารมณ์
เทคนิคการจัดการกับอารมณ์ตนเอง
ทบทวน ว่ามีอะไรบ้างที่เราทำลงไป เพื่อตอบสนองอารมณ์ที่เกิดขึ้น และพิจารณาว่าผลที่ตามมาเป็นอย่างไร
เตรียมการในการแสดงอารมณ์ ฝึกสั่งตัวเองว่าจะทำอะไรและจะไม่ทำอะไร
ฝึกรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือที่เราต้องเกี่ยวข้องในด้านดี ทำอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่เศร้าหมอง
สร้างโอกาสจากอุปสรรค หรือหาประโยชน์จากปัญหา โดยการเปลี่ยนมุมมอง
เช่น คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือ ความท้าทายที่จะทำให้เราพัฒนายิ่งขึ้น เป็นต้น
ฝึกผ่อนคลายความเครียด โดยเลือกวิธีที่เหมาะกับตนเอง
เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ เดินจงกรม เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ เป็นต้น
3. สร้างแรงจูงใจให้ตนเอง
การ มองหาแง่ดีของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราเกิดความเชื่อมั่นว่า
สามารถเผชิญกับเหตุการณ์นั้นได้ และทำให้เกิดกำลังใจที่ก้าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
เทคนิคการสร้างแรงจูงใจให้กับตนเอง
ทบทวน และจัดอันดับสิ่งสำคัญในชีวิต
โดยให้จัดอันดับความต้องการ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็นทั้งหลายทั้งปวง
แล้วพิจารณาว่าการที่เราจะบรรลุสิ่งที่ต้องการนั้น เรื่องไหนที่พอเป็นได้ เรื่องไหนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
ตั้ง เป้าหมายให้ชัดเจน เมื่อได้ความต้องการที่มีความเป็นไปได้แล้ว ก็นำมาตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
เพื่อวางขั้นตอนการปฏิบัติที่จะมุ่งไปสู่จุดหมายนั้นๆ
มุ่ง มั่นต่อเป้าหมาย
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความฝัน ความต้องการของตนเอง
ต้องระวังอย่าให้มีเหตุการณ์ใด มาทำให้เราเกิดความไขว้เขวออกนอกทางที่ตั้ง ไว้
ลด ความสมบูรณ์แบบ
ต้องทำใจยอมรับได้ว่า สิ่งที่เราตั้งใจไว้อาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ หรือไม่เป็นดังที่เราคาดหวัง 100 %
การทำใจยอมรับความบกพร่องได้จะช่วยให้เราไม่เครียด ไม่ทุกข์ ไม่ผิดหวังมากจนเกินไป
ฝึกมองหาประโยชน์จากอุปสรรค เพื่อสร้างความรู้สึกดีๆ ที่จะเป็นพลังให้เกิดสิ่งดีๆ อื่นๆ ต่อไป
ฝึก สร้างทัศนคติที่ดี
หามุมมองที่ดีในเรื่องที่เราไม่พอใจ (แต่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้)
มองปัญหาให้เป็นความท้าทายที่เราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างพลังและแรงจูงใจให้ผ่านพ้นปัญหานั้นๆ ไปได้
หมั่น สร้างความหมายในชีวิต ด้วยการรู้สึกดีต่อตัวเอง
นึกถึงสิ่งที่สร้างความภูมิใจและพยายามใช้ความสามารถที่มี ทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้กำลังใจตนเอง คิดอยู่เสมอว่าเราทำได้ เราจะทำและลงมือทำ
4. รู้อารมณ์ผู้อื่น
การ รู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น และสามารถแสดงอารมณ์ตนเองตอบสนองได้อย่างเหมาะสม
โดยเฉพาะกับคนที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย
จะช่วยให้เราสามารถอยู่ร่วม หรือทำงานด้วยกันได้อย่างดีและมีความสุขมากขึ้น
เทคนิคการรู้อารมณ์ผู้อื่น
ให้ความสนใจในการแสดงออกของผู้อื่น
โดยการสังเกตสีหน้า แววตา ท่าทาง การพูด น้ำเสียง ตลอดจนการแสดงออกอื่นๆ
อ่าน อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น
จากสิ่งที่สังเกตเห็นว่า เขากำลังมีความรู้สึกใด โดยอาจตรวจสอบว่าเขารู้สึกอย่างนั้นจริงหรือไม่ด้วยการถาม
แต่วิธีนี้ควรทำในสถานการณ์ที่เหมาะสม เพราะมิฉะนั้นอาจดูเป็นการวุ่นวาย ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นได้
ทำความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของบุคคล
เรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเราว่าถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกอย่างไรจากสภาพที่เขาเผชิญอยู่
5. รักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
การมีความรู้สึกที่ดีต่อกันจะช่วยลดความขัดแย้ง
และช่วยให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์
เทคนิคในการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
ฝึกการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น ด้วยการเข้าใจ เห็นใจความรู้สึกของผู้อื่น
ฝึก การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน
ฝึกการเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี และไม่ลืมที่จะใส่ใจในความรู้สึกของผู้ฟังด้วย
ฝึกการแสดงน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการให้และรับ
ฝึกการให้เกียรติผู้อื่นอย่างจริงใจ รู้จักยอมรับในความสามารถของผู้อื่น
ฝึกการแสดงความชื่นชม ให้กำลังใจซึ่งกันและกันตามวาระที่เหมาะสม
ที่มา : http://www.thaihealth.or.th/node/10565
ใน ทางจิตวิทยาเชื่อว่า อีคิวหรือความฉลาดทางอารมณ์เป็นสิ่งที่พัฒนาได้
แดเนียล โกลแมน ผู้เขียนเรื่อง ความฉลาดทางอารมณ์ เสนอแนะวิธีการพัฒนาอารมณ์ไว้ 5 ประการ ดังนี้
1. รู้จักอารมณ์ตนเอง
การรู้จักอารมณ์ตนเอง จะเป็นพื้นฐานในการควบคุมอารมณ์เพื่อแสดงออกอย่างเหมาะสม
การรู้จักอารมณ์ตนเองก็คือการรู้ตัว หรือการมีสติในทรรศนะของพุทธศาสนานั่นเอง
ปกติเมื่อเราเกิดอารมณ์ใดๆ ขึ้นมา เราจะตกอยู่ในภาวะใดภาวะหนึ่งใน 3 ภาวะ ดังต่อไปนี้
ถูกครอบงำ หมายถึง
การที่เราไม่สามารถฝืนต่อสภาพอารมณ์นั้นๆ ได้ จึงแสดงพฤติกรรมไปตามสภาพอารมณ์ดังกล่าว
เช่น เมื่อโมโหก็อาจจะมีการขว้างปาข้าวของหรือส่งเสียงดังโดยไม่สนใจใคร
ไม่ยินดียินร้าย หมายถึง
การไม่ยินดียินร้ายต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น หรือทำเป็นละเลยไม่สนใจเพื่อบรรเทาการแสดงอารมณ์
เช่น ทำเป็นไม่ใส่ใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งที่จริงๆ ก็รู้สึกโกรธ
รู้เท่าทัน หมายถึง
การรู้เท่าทันต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น มีสติรู้ว่าควรจะทำอย่างไร จึงจะเหมาะสมที่สุดในขณะที่เกิดอารมณ์นั้นๆ
เช่น โกรธก็รู้ว่าโกรธ แต่ก็สามารถควบคุมความโกรธนั้นได้ ระงับอารมณ์โกรธได้
และหาวิธีจัดการแก้ไขได้อย่างเหมาะสม
ทำอย่างไรให้รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง?
ทบทวน
ถ้ารู้สึกว่าที่ผ่านมาเรามีปัญหาในการแสดงอารมณ์ ลองให้เวลาทบทวนอารมณ์ด้วยใจที่เป็นกลาง
ไม่เข้าข้างตนเองว่าเรามีลักษณะอารมณ์อย่างไร เรามักแสดงออกในรูปแบบไหน
แล้วรู้สึกพอใจ ไม่พอใจอย่างไร คิดว่าเหมาะสมหรือไม่ต่อการแสดงอารมณ์ในลักษณะนั้นๆ
ฝึกสติ
ฝึกให้มีสติและรู้ตัวอยู่เสมอ ว่าขณะนี้เรากำลังรู้สึกอย่างไรกับตัวเอง หรือต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว
สบายใจ ไม่สบายใจ แล้วลองถามตัวเองว่าเราคิดอย่างไรกับความรู้สึกและความคิดนั้น
ความรู้สึกนั้นมีผลอย่างไรกับการแสดงออกของเรา
2. จัดการกับอารมณ์ตนเองได้
การ จัดการกับอารมณ์ตนเองได้ หมายถึง
ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และสามารถแสดงออกไปได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ
แต่การที่เราจะจัดการกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมหรือไม่เพียงใดนั้น
ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมอารมณ์
เทคนิคการจัดการกับอารมณ์ตนเอง
ทบทวน ว่ามีอะไรบ้างที่เราทำลงไป เพื่อตอบสนองอารมณ์ที่เกิดขึ้น และพิจารณาว่าผลที่ตามมาเป็นอย่างไร
เตรียมการในการแสดงอารมณ์ ฝึกสั่งตัวเองว่าจะทำอะไรและจะไม่ทำอะไร
ฝึกรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือที่เราต้องเกี่ยวข้องในด้านดี ทำอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่เศร้าหมอง
สร้างโอกาสจากอุปสรรค หรือหาประโยชน์จากปัญหา โดยการเปลี่ยนมุมมอง
เช่น คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือ ความท้าทายที่จะทำให้เราพัฒนายิ่งขึ้น เป็นต้น
ฝึกผ่อนคลายความเครียด โดยเลือกวิธีที่เหมาะกับตนเอง
เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ เดินจงกรม เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ เป็นต้น
3. สร้างแรงจูงใจให้ตนเอง
การ มองหาแง่ดีของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราเกิดความเชื่อมั่นว่า
สามารถเผชิญกับเหตุการณ์นั้นได้ และทำให้เกิดกำลังใจที่ก้าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
เทคนิคการสร้างแรงจูงใจให้กับตนเอง
ทบทวน และจัดอันดับสิ่งสำคัญในชีวิต
โดยให้จัดอันดับความต้องการ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็นทั้งหลายทั้งปวง
แล้วพิจารณาว่าการที่เราจะบรรลุสิ่งที่ต้องการนั้น เรื่องไหนที่พอเป็นได้ เรื่องไหนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
ตั้ง เป้าหมายให้ชัดเจน เมื่อได้ความต้องการที่มีความเป็นไปได้แล้ว ก็นำมาตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
เพื่อวางขั้นตอนการปฏิบัติที่จะมุ่งไปสู่จุดหมายนั้นๆ
มุ่ง มั่นต่อเป้าหมาย
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความฝัน ความต้องการของตนเอง
ต้องระวังอย่าให้มีเหตุการณ์ใด มาทำให้เราเกิดความไขว้เขวออกนอกทางที่ตั้ง ไว้
ลด ความสมบูรณ์แบบ
ต้องทำใจยอมรับได้ว่า สิ่งที่เราตั้งใจไว้อาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ หรือไม่เป็นดังที่เราคาดหวัง 100 %
การทำใจยอมรับความบกพร่องได้จะช่วยให้เราไม่เครียด ไม่ทุกข์ ไม่ผิดหวังมากจนเกินไป
ฝึกมองหาประโยชน์จากอุปสรรค เพื่อสร้างความรู้สึกดีๆ ที่จะเป็นพลังให้เกิดสิ่งดีๆ อื่นๆ ต่อไป
ฝึก สร้างทัศนคติที่ดี
หามุมมองที่ดีในเรื่องที่เราไม่พอใจ (แต่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้)
มองปัญหาให้เป็นความท้าทายที่เราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างพลังและแรงจูงใจให้ผ่านพ้นปัญหานั้นๆ ไปได้
หมั่น สร้างความหมายในชีวิต ด้วยการรู้สึกดีต่อตัวเอง
นึกถึงสิ่งที่สร้างความภูมิใจและพยายามใช้ความสามารถที่มี ทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้กำลังใจตนเอง คิดอยู่เสมอว่าเราทำได้ เราจะทำและลงมือทำ
4. รู้อารมณ์ผู้อื่น
การ รู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น และสามารถแสดงอารมณ์ตนเองตอบสนองได้อย่างเหมาะสม
โดยเฉพาะกับคนที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย
จะช่วยให้เราสามารถอยู่ร่วม หรือทำงานด้วยกันได้อย่างดีและมีความสุขมากขึ้น
เทคนิคการรู้อารมณ์ผู้อื่น
ให้ความสนใจในการแสดงออกของผู้อื่น
โดยการสังเกตสีหน้า แววตา ท่าทาง การพูด น้ำเสียง ตลอดจนการแสดงออกอื่นๆ
อ่าน อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น
จากสิ่งที่สังเกตเห็นว่า เขากำลังมีความรู้สึกใด โดยอาจตรวจสอบว่าเขารู้สึกอย่างนั้นจริงหรือไม่ด้วยการถาม
แต่วิธีนี้ควรทำในสถานการณ์ที่เหมาะสม เพราะมิฉะนั้นอาจดูเป็นการวุ่นวาย ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นได้
ทำความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของบุคคล
เรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเราว่าถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกอย่างไรจากสภาพที่เขาเผชิญอยู่
5. รักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
การมีความรู้สึกที่ดีต่อกันจะช่วยลดความขัดแย้ง
และช่วยให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์
เทคนิคในการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
ฝึกการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น ด้วยการเข้าใจ เห็นใจความรู้สึกของผู้อื่น
ฝึก การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน
ฝึกการเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี และไม่ลืมที่จะใส่ใจในความรู้สึกของผู้ฟังด้วย
ฝึกการแสดงน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการให้และรับ
ฝึกการให้เกียรติผู้อื่นอย่างจริงใจ รู้จักยอมรับในความสามารถของผู้อื่น
ฝึกการแสดงความชื่นชม ให้กำลังใจซึ่งกันและกันตามวาระที่เหมาะสม
ที่มา : http://www.thaihealth.or.th/node/10565
คู่มือการป้องกันการฆ่าตัวตาย
ในความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ก็ย่อมมีช่วงเวลาของความอ่อนแอ อ่อนล้าในชีวิตอยู่บ้าง
เพราะไม่มีใครที่อยู่อย่างปราศจากปัญหา
ซึ่งในช่วงนี้เอง เป็นช่วงที่คนเราต้องการใครสักคน มาช่วยประคับประคอง และให้กำลังใจเพื่อเอาชนะอุปสรรค
และสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างงดงาม
กำลังใจ คำปลอบใจ คือสายใยต่อชีวิต คนเหล่านี้ต้องการความช่งยเหลือ
ต้องการคนเข้าใจ เห็นใจ ให้กำลังใจแก่เขาได้ ความเมตตาของท่าน จะช่วยต่อชีวิตของเขาได้
ปัญหาการฆ่าตาย ผ่อนคลาย และป้องกันได้
การ ฆ่าตัวตายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ กับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งปรากฎอยู่ในสังคมและชุมชนต่างๆอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้สามารถป้องกันได้ หากว่าประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน ช่วยเหลือ
โดยประชาชนมีเจตคติที่ดี มีความเห็นอกเห็นใจ
รวมทั้งความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาและสาเหตุของการฆ่าตัวตาย
วิธีการสังเกตสัญญาณเตือนที่จะนำไปสู่การฆ่าตัวตายเสียแต่เนิ่นๆ
และรู้แหล่งหรือบุคคลที่จะให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ที่จำเป็น ย่อมจะทำให้ปัญหาการฆ่าตัวตาย
และพยายามฆ่าตัวตายของคนในชุมชนต่างๆ ลดลงไปมาก และนำความสงบสุขมาสู่ชุมชนนั้น
คุณรู้ไหมว่าทำไม คนเราถึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย
* มองไปทางไหนก็เห็นแต่ปัญหา ไม่เห็นทางออก เจอแต่ทางตัน
* ซึมเศร้า หมดอาลัยตายอยาก หดหู่ ท้อแท้
* ป่วยเป็นโรคจิต หลงผิดคิดว่ามีคนสั่งให้ไปตาย หรือระแวงว่าจะมีคนมาฆ่า ก็เลยอยากตายไปให้พ้น
* ติดเหล้า ติดยา ไม่ได้เสพก็ทรมาน พอเสพจนเมาก็ขาดสติ ไม่มีใครอยากเหลียวแล
* มีความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทางกาย จนไม่สามารถทนได้ จึงฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นทุกข์
คนที่ฆ่าตัวตายต้องการสิ่งเหล่านี้
* ความเข้าใจ
* เพื่อนที่จริงใจ
* การระบายความทุกข์
* ความใส่ใจ
ลักษณะบุคคลที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
หากพบว่าใครมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อต่อไปนี้ ให้ระวังว่าอาจจะมีความเสียงต่อการฆ่าตัวตาย
1. พูดถึงความตายหรือการฆ่าตัวตาย หรือบ่นว่าอยากตาย
ไม่อยากเป็นภาระใคร รู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า ไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร
2. พูดหรือเขียนสั่งเสีย
3. เคยพยายามฆ่าตัวตาย
4. นิสัยเปลี่ยนเป็นหงอยเหงา เศร้าซึม แยกตัวเอง หมดอาลัยตายอยาก
ร้องไห้บ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ มีความรู้สึกผิด และดูถูกตนเอง
5. ป่วย เป็นโรคจิต เช่น มีอาการหูแว่วว่ามีคนมาสั่งให้ไปตาย
หลงผิดคิดว่าจะมีคนมาฆ่าจึงอยากตายให้พ้นๆ มีความคิดแปลกๆ ว่าถ้าตายแล้วจะช่วยไม่ให้โลกแตก เป็นต้น
6. ติดสุราหรือยาเสพติด จนเลิกไม่ได้ ครอบครัวและชุมชนไม่ยอมรับ
7. มีความทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัวร้ายแรง โรคเรื้อรัง และรักษาไม่หาย เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง เป็นต้น
8. มีความพิการจากการสูญเสียอวัยวะสำคัญ จนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือเสียความสวยงาม
9. สูญเสียบุคคลหรือของรักที่มีความสำคัญต่อชีวิต การตายจาก หรือแยกจากในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน
10. ถูกเร่งรัดหนี้สินจนหาทางออกไม่ได้ สินเนื้อประดาตัว หมดทางทำมาหากิน
11. เกิดการโต้เถียง ทะเลาะวิวาทรุนแรงบ่อยๆ ระหว่างคนในครอบครัว หรือเพื่อนฝูง
ถ้า มีลักษณะดังข้อ 1-6 แนะนำหรือชักชวนให้ขอคำปรึกษาที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
หรือโรงพยาบาลชุมชนโดยด่วน เพราะมีความเจ็บป่วยทางจิตใจซึ่งรักษาได้ โรคบางอย่างจำเป็นต้องรักษาด้วยยา
ถ้าพบข้อใดข้อหนึ่ง ให้ดูแลและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะข้อ 1-6 เพียงข้อใดข้อหนึ่ง รีบให้ความช่วยเหลือโดยเร่งด่วน
โดยขอให้ดำเนินการช่วยเหลือตามวิธีที่ได้แนะนำไว้ในหน้านี้
เราจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่าตัวตายได้อย่างไร
1. สังเกต ว่ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้กล่าวมาแล้วทั้ง 11 ข้อ หรือไม่
ถ้ามีให้เฝ้าระวังว่ามีโอกาสกระทำได้จริง ควรเข้าไปพูดคุยซักถามด้วนความเอาใจใส่ พร้อมจะช่วยเหลือ
2. ลอง ถามไถ่ว่ามีการเตรียมวิธีที่จะทำร้ายตัวเอง หรือไม่อย่างไรถ้าผู้ช่วยเหลืออยู่ในฐานะเพื่อนบ้าน
หรือมิใช่คนในครอบครัว ให้บอกญาติหรือคนในครอบครัวให้คอยระวังอย่างใกล้ชิด ให้อยู่ในสายตา
และให้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ ที่เขาเตรียมไว้เพื่อทำร้ายตัวเอง
3. พูดคุยให้คำปรึกษา ปลอบใจ ให้เขามีสติ ค่อยๆคิดหาทางแก้ไขปัญหา
อาจจะแนะนำให้เขาปรึกษาคนที่เขาไว้วางใจ และนับถือ เช่น ญาติ พระ ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ
4. กระตุ้นให้ญาติให้กำลังใจ ไม่ตำหนิ หรือลดการทะเลาะเบาะแว้งลง
5. ติดต่อ หาแหล่งช่วยเหลือในพื้นที่ เท่าที่จะทำได้ เช่น แหล่งฝึกอาชีพ แหล่งฟื้นฟูสมรรถภาพ
แหล่งช่วยเหลือเรื่องการเงิน เช่น กรมประชาสงเคราะห์ เป็นต้น
6. กระตุ้นให้คนในชุมชนตระหนักถึงปัญหา
และให้ความสนใจดูแล และเฝ้าระวังซึ่งกันและกัน ไม่ปล่อยปละละเลย
7. ให้ ความรู้เรื่องผลระยะยาวของสุขภาพที่เกิดจากการใช้ยา หรืออุปกรณ์ในการฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ
เช่น สมองเสื่อมจากการผูกคอตาย หรือเกิดความพิการทางกายอื่นๆ
เทคนิคการปลอบใจ
เมื่อใครมีแนวโน้มที่จะคิดทำร้ายตนเอง ควรพูดปลอบใจ และให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เป็นมิตร ดังนี้
* พูด ให้ความหวัง ตัวอย่างเช่น
" ทำใจดีๆไว้ พรุ่งนี้อาจจะดีขึ้นก็ได้ เพราะไม่มีอะไรที่คงที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
ความทุกข์ก็เหมือนกัน มันจะหมดไปสักวัน และพ้นผ่านไปเองในที่สุด "
* ยัง มีหนทางแก้ไขปัญหาได้ ตัวอย่างเช่น
" ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข บางปัญหาต้องใช้เวลา เราลองมาช่วยกันคิดหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหากันดีกว่า "
* ให้ความมั่นใจว่า ยังมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ ตัวอย่างเช่น
" ลองปรึกษาหารือกับเพื่อน (หรือญาติพี่น้อง สามี หรือภรรยา ลูกที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว) ดู "
แต่ถ้าไม่มีใครจริงๆ ยังมีหน่วยงานอีกหลายแห่งที่ยังคอยให้ความช่วยเหลืออยู่
* พูด ให้ห่วงคนข้างหลัง ตัวอย่างเช่น
" ถ้าขาดคุณเสียคน ลูกๆจะทำอย่างไร " หรือ
"ถ้าขาดคุณแล้ว พ่อแม่จะอยู่อย่างไร ใครจะช่วยดูแลท่าน ท่านแก่มากแล้ว "
* พูด ให้เห็นข้อดีของการมีชีวิต ตัวอย่างเช่น
" คุณยังมีอะไรดีๆอยู่อีกมาก เช่น มีลุก มีสามี หรือภรรยาที่ดี ที่คอยหว่งใยให้กำลังใจ " หรือ
" คุณยังมีงานทำมีทรัพย์สินเงินทอง " หรือ " การมีชีวิตอยู่ยังได้ทำบุญ ทำประโยชน์ให้ครอบครัวให้สังคมได้ "
* ใน กรณีที่เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ผู้คิดทำร้ายตนเอง สามารถมีสติรับฟังเหตุผลได้ ให้พูดถึงบาปบุญคุณโทษ
ตัวอย่างเช่น " คิดทำร้ายตัวเองไม่ดีหรอก บาปกรรมเปล่าๆ กว่าจะเกิดมาเป็นคนนั้นแสนยาก "
อย่าพูดซ้ำเติมคนคิดฆ่าตัวตาย เพราะจะกลายเป็นการผลักดันให้ลงมือทำซ้ำอีก
การปลอบใจและให้กำลังใจที่ดีที่สุด คือ
การรับฟังอย่างเข้าใจ และใส่ใจความรู้สึกของผู้ประสบปัญหา และเห็นอกเห็นใจด้วยความจริงใจ
เมื่อมีการฆ่าตัวตายจะทำอย่างไร
* รีบช่วยปฐมพยาบาล และรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
* ปลอบโยนญาติให้มีสติ
* ทำ ความเข้าใจกับชุมชนให้เข้าใจว่า เขาทำไปเพราะทุกข์ใจ ไม่ใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตัว ไม่ควรรังเกียจ
ควรเห็นใจผู้ฆ่าตัวตาย และญาติ ให้ความช่วยเหลือ และช่วยกันดูแลเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก
สิ่งที่ญาติหรือผู้ใกล้ชิด ไม่ควรพูดกับผู้ที่คิดฆ่าตัวตาย
* ตายเสียได้ก็ดี
* ไม่น่ารอดมาเลย
* อย่าไปสนใจมากเดี๋ยวก็ทำอีก ไม่ตายจริงหรอก
* เก่งจริงคราวหน้าก็ให้ตายจริงซิ
* อยู่ไปก็ไม่เห็นทำประโยชน์อะไร
* ไม่ต้องฆ่าตัวตายหรอก ยังไงก็ตายอยู่ดี
* อยู่ไปนานก็ยิ่งจะสร้างภาระให้คนอื่น
แหล่งให้ความช่วยเหลือที่ติดต่อได้
* สถานีอนามัย
* โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลจิตเวช
* บุคคลในชุมชนที่เคารพนับถือ ไว้วางใจ และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ
เช่น พระครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. และเพื่อนบ้าน
* แรงงานจังหวัด ที่ให้ความช่วยเหลือด้านจัดหางาน เพื่อให้มีอาชีพ เลี้ยงตัวเองและครอบครัว
* ประชาสงเคราะห์จังหวัด ที่ให้ความช่วยเหลือเรื่องการเงิน ที่พักอาศัย
และปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร น้ำ เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค
ต่อชีวิตคน ได้กุศล ผลบุญแรง
โดย กรมสุขภาพจิต
ที่มา http://www.dhammajak.net/dhamma/62.html
เพราะไม่มีใครที่อยู่อย่างปราศจากปัญหา
ซึ่งในช่วงนี้เอง เป็นช่วงที่คนเราต้องการใครสักคน มาช่วยประคับประคอง และให้กำลังใจเพื่อเอาชนะอุปสรรค
และสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างงดงาม
กำลังใจ คำปลอบใจ คือสายใยต่อชีวิต คนเหล่านี้ต้องการความช่งยเหลือ
ต้องการคนเข้าใจ เห็นใจ ให้กำลังใจแก่เขาได้ ความเมตตาของท่าน จะช่วยต่อชีวิตของเขาได้
ปัญหาการฆ่าตาย ผ่อนคลาย และป้องกันได้
การ ฆ่าตัวตายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ กับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งปรากฎอยู่ในสังคมและชุมชนต่างๆอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้สามารถป้องกันได้ หากว่าประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน ช่วยเหลือ
โดยประชาชนมีเจตคติที่ดี มีความเห็นอกเห็นใจ
รวมทั้งความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาและสาเหตุของการฆ่าตัวตาย
วิธีการสังเกตสัญญาณเตือนที่จะนำไปสู่การฆ่าตัวตายเสียแต่เนิ่นๆ
และรู้แหล่งหรือบุคคลที่จะให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ที่จำเป็น ย่อมจะทำให้ปัญหาการฆ่าตัวตาย
และพยายามฆ่าตัวตายของคนในชุมชนต่างๆ ลดลงไปมาก และนำความสงบสุขมาสู่ชุมชนนั้น
คุณรู้ไหมว่าทำไม คนเราถึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย
* มองไปทางไหนก็เห็นแต่ปัญหา ไม่เห็นทางออก เจอแต่ทางตัน
* ซึมเศร้า หมดอาลัยตายอยาก หดหู่ ท้อแท้
* ป่วยเป็นโรคจิต หลงผิดคิดว่ามีคนสั่งให้ไปตาย หรือระแวงว่าจะมีคนมาฆ่า ก็เลยอยากตายไปให้พ้น
* ติดเหล้า ติดยา ไม่ได้เสพก็ทรมาน พอเสพจนเมาก็ขาดสติ ไม่มีใครอยากเหลียวแล
* มีความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทางกาย จนไม่สามารถทนได้ จึงฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นทุกข์
คนที่ฆ่าตัวตายต้องการสิ่งเหล่านี้
* ความเข้าใจ
* เพื่อนที่จริงใจ
* การระบายความทุกข์
* ความใส่ใจ
ลักษณะบุคคลที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
หากพบว่าใครมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อต่อไปนี้ ให้ระวังว่าอาจจะมีความเสียงต่อการฆ่าตัวตาย
1. พูดถึงความตายหรือการฆ่าตัวตาย หรือบ่นว่าอยากตาย
ไม่อยากเป็นภาระใคร รู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า ไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร
2. พูดหรือเขียนสั่งเสีย
3. เคยพยายามฆ่าตัวตาย
4. นิสัยเปลี่ยนเป็นหงอยเหงา เศร้าซึม แยกตัวเอง หมดอาลัยตายอยาก
ร้องไห้บ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ มีความรู้สึกผิด และดูถูกตนเอง
5. ป่วย เป็นโรคจิต เช่น มีอาการหูแว่วว่ามีคนมาสั่งให้ไปตาย
หลงผิดคิดว่าจะมีคนมาฆ่าจึงอยากตายให้พ้นๆ มีความคิดแปลกๆ ว่าถ้าตายแล้วจะช่วยไม่ให้โลกแตก เป็นต้น
6. ติดสุราหรือยาเสพติด จนเลิกไม่ได้ ครอบครัวและชุมชนไม่ยอมรับ
7. มีความทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัวร้ายแรง โรคเรื้อรัง และรักษาไม่หาย เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง เป็นต้น
8. มีความพิการจากการสูญเสียอวัยวะสำคัญ จนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือเสียความสวยงาม
9. สูญเสียบุคคลหรือของรักที่มีความสำคัญต่อชีวิต การตายจาก หรือแยกจากในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน
10. ถูกเร่งรัดหนี้สินจนหาทางออกไม่ได้ สินเนื้อประดาตัว หมดทางทำมาหากิน
11. เกิดการโต้เถียง ทะเลาะวิวาทรุนแรงบ่อยๆ ระหว่างคนในครอบครัว หรือเพื่อนฝูง
ถ้า มีลักษณะดังข้อ 1-6 แนะนำหรือชักชวนให้ขอคำปรึกษาที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
หรือโรงพยาบาลชุมชนโดยด่วน เพราะมีความเจ็บป่วยทางจิตใจซึ่งรักษาได้ โรคบางอย่างจำเป็นต้องรักษาด้วยยา
ถ้าพบข้อใดข้อหนึ่ง ให้ดูแลและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะข้อ 1-6 เพียงข้อใดข้อหนึ่ง รีบให้ความช่วยเหลือโดยเร่งด่วน
โดยขอให้ดำเนินการช่วยเหลือตามวิธีที่ได้แนะนำไว้ในหน้านี้
เราจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่าตัวตายได้อย่างไร
1. สังเกต ว่ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้กล่าวมาแล้วทั้ง 11 ข้อ หรือไม่
ถ้ามีให้เฝ้าระวังว่ามีโอกาสกระทำได้จริง ควรเข้าไปพูดคุยซักถามด้วนความเอาใจใส่ พร้อมจะช่วยเหลือ
2. ลอง ถามไถ่ว่ามีการเตรียมวิธีที่จะทำร้ายตัวเอง หรือไม่อย่างไรถ้าผู้ช่วยเหลืออยู่ในฐานะเพื่อนบ้าน
หรือมิใช่คนในครอบครัว ให้บอกญาติหรือคนในครอบครัวให้คอยระวังอย่างใกล้ชิด ให้อยู่ในสายตา
และให้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ ที่เขาเตรียมไว้เพื่อทำร้ายตัวเอง
3. พูดคุยให้คำปรึกษา ปลอบใจ ให้เขามีสติ ค่อยๆคิดหาทางแก้ไขปัญหา
อาจจะแนะนำให้เขาปรึกษาคนที่เขาไว้วางใจ และนับถือ เช่น ญาติ พระ ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ
4. กระตุ้นให้ญาติให้กำลังใจ ไม่ตำหนิ หรือลดการทะเลาะเบาะแว้งลง
5. ติดต่อ หาแหล่งช่วยเหลือในพื้นที่ เท่าที่จะทำได้ เช่น แหล่งฝึกอาชีพ แหล่งฟื้นฟูสมรรถภาพ
แหล่งช่วยเหลือเรื่องการเงิน เช่น กรมประชาสงเคราะห์ เป็นต้น
6. กระตุ้นให้คนในชุมชนตระหนักถึงปัญหา
และให้ความสนใจดูแล และเฝ้าระวังซึ่งกันและกัน ไม่ปล่อยปละละเลย
7. ให้ ความรู้เรื่องผลระยะยาวของสุขภาพที่เกิดจากการใช้ยา หรืออุปกรณ์ในการฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ
เช่น สมองเสื่อมจากการผูกคอตาย หรือเกิดความพิการทางกายอื่นๆ
เทคนิคการปลอบใจ
เมื่อใครมีแนวโน้มที่จะคิดทำร้ายตนเอง ควรพูดปลอบใจ และให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เป็นมิตร ดังนี้
* พูด ให้ความหวัง ตัวอย่างเช่น
" ทำใจดีๆไว้ พรุ่งนี้อาจจะดีขึ้นก็ได้ เพราะไม่มีอะไรที่คงที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
ความทุกข์ก็เหมือนกัน มันจะหมดไปสักวัน และพ้นผ่านไปเองในที่สุด "
* ยัง มีหนทางแก้ไขปัญหาได้ ตัวอย่างเช่น
" ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข บางปัญหาต้องใช้เวลา เราลองมาช่วยกันคิดหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหากันดีกว่า "
* ให้ความมั่นใจว่า ยังมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ ตัวอย่างเช่น
" ลองปรึกษาหารือกับเพื่อน (หรือญาติพี่น้อง สามี หรือภรรยา ลูกที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว) ดู "
แต่ถ้าไม่มีใครจริงๆ ยังมีหน่วยงานอีกหลายแห่งที่ยังคอยให้ความช่วยเหลืออยู่
* พูด ให้ห่วงคนข้างหลัง ตัวอย่างเช่น
" ถ้าขาดคุณเสียคน ลูกๆจะทำอย่างไร " หรือ
"ถ้าขาดคุณแล้ว พ่อแม่จะอยู่อย่างไร ใครจะช่วยดูแลท่าน ท่านแก่มากแล้ว "
* พูด ให้เห็นข้อดีของการมีชีวิต ตัวอย่างเช่น
" คุณยังมีอะไรดีๆอยู่อีกมาก เช่น มีลุก มีสามี หรือภรรยาที่ดี ที่คอยหว่งใยให้กำลังใจ " หรือ
" คุณยังมีงานทำมีทรัพย์สินเงินทอง " หรือ " การมีชีวิตอยู่ยังได้ทำบุญ ทำประโยชน์ให้ครอบครัวให้สังคมได้ "
* ใน กรณีที่เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ผู้คิดทำร้ายตนเอง สามารถมีสติรับฟังเหตุผลได้ ให้พูดถึงบาปบุญคุณโทษ
ตัวอย่างเช่น " คิดทำร้ายตัวเองไม่ดีหรอก บาปกรรมเปล่าๆ กว่าจะเกิดมาเป็นคนนั้นแสนยาก "
อย่าพูดซ้ำเติมคนคิดฆ่าตัวตาย เพราะจะกลายเป็นการผลักดันให้ลงมือทำซ้ำอีก
การปลอบใจและให้กำลังใจที่ดีที่สุด คือ
การรับฟังอย่างเข้าใจ และใส่ใจความรู้สึกของผู้ประสบปัญหา และเห็นอกเห็นใจด้วยความจริงใจ
เมื่อมีการฆ่าตัวตายจะทำอย่างไร
* รีบช่วยปฐมพยาบาล และรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
* ปลอบโยนญาติให้มีสติ
* ทำ ความเข้าใจกับชุมชนให้เข้าใจว่า เขาทำไปเพราะทุกข์ใจ ไม่ใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตัว ไม่ควรรังเกียจ
ควรเห็นใจผู้ฆ่าตัวตาย และญาติ ให้ความช่วยเหลือ และช่วยกันดูแลเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก
สิ่งที่ญาติหรือผู้ใกล้ชิด ไม่ควรพูดกับผู้ที่คิดฆ่าตัวตาย
* ตายเสียได้ก็ดี
* ไม่น่ารอดมาเลย
* อย่าไปสนใจมากเดี๋ยวก็ทำอีก ไม่ตายจริงหรอก
* เก่งจริงคราวหน้าก็ให้ตายจริงซิ
* อยู่ไปก็ไม่เห็นทำประโยชน์อะไร
* ไม่ต้องฆ่าตัวตายหรอก ยังไงก็ตายอยู่ดี
* อยู่ไปนานก็ยิ่งจะสร้างภาระให้คนอื่น
แหล่งให้ความช่วยเหลือที่ติดต่อได้
* สถานีอนามัย
* โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลจิตเวช
* บุคคลในชุมชนที่เคารพนับถือ ไว้วางใจ และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ
เช่น พระครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. และเพื่อนบ้าน
* แรงงานจังหวัด ที่ให้ความช่วยเหลือด้านจัดหางาน เพื่อให้มีอาชีพ เลี้ยงตัวเองและครอบครัว
* ประชาสงเคราะห์จังหวัด ที่ให้ความช่วยเหลือเรื่องการเงิน ที่พักอาศัย
และปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร น้ำ เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค
ต่อชีวิตคน ได้กุศล ผลบุญแรง
โดย กรมสุขภาพจิต
ที่มา http://www.dhammajak.net/dhamma/62.html
พูดอย่างไรให้ชนะใจ
การพูดในชีวิตประจำวันนั้นดูเหมือนเป็นเรื่องที่ง่าย ๆ นะคะ
แต่การพูดให้ดี ให้น่าประทับใจจนสามารถชนะใจผู้อื่นได้นั้น กลับดูเป็นสิ่งที่ยากสำหรับใคร ๆ หลายคน
เคยประหลาดใจบ้างหรือไม่ว่า ความคิดที่เฉียบแหลมของเรา เมื่อผ่านการพูดไปสู่ผู้ฟังแล้ว
เหตุใดพลังของมันจึงอ่อนด้อยลงไปจนเกิดอาการที่เรียกว่า
“พูดไม่ได้ดั่งใจขึ้นมาในอกนั้นก็เพราะว่า การพูดนั้นแตกต่างจากการคิดนะคะ
ช่องว่างที่เกิดขึ้นกับสิ่งสองสิ่งนี้เราจำเป็น ที่จะต้องมีสะพานสำคัญสำหรับทอดข้าม ไปสะพานอันนั้นได้แก่
ตัวเรา และ วิธีการพูดของเราเอง
“ยุทธวิธีการพูด”ก็คือแหล่งวัตถุดิบ สำหรับสร้างสะพานน้อย ๆ อันนั้นนั่นเอง
เราควรมีวิธีการพูดอย่างไรให้ตรงจิตใจ น่าประทับใจในทวงทีลีลาที่มีสไตล์เป็นของเราเอง
จากการที่ดิฉันได้ทำการค้นคว้าหาข้อมูลจากหนังสือยุทธวิธีการพูด ของ อาร์ช ลัสต์เบริ์ก
ทำให้ตัวดิฉันรู้สึกมั่นใจว่า “เราทำได้”และคิดว่าทุก ๆ คนก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
หลักการพูดที่สำคัญ ๆ ที่จะทำให้เราเป็นผู้ชนะ เราต้องชนะด้วยหลัก 3 ประการด้วยกันคือ
1.ชนะอย่างมีสไตล์
สไตล์เฉพาะตนเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่เหมือนใคร นักพูดที่ดีต้องมีท่วงทำนองเป็นของตนเอง
ซึ่งถ้าหากขาดจุดนี้ตัวเราเองดุจเป็นของโหล
การที่เราจะทำอย่างนี้ได้นั้น ก่อนอื่นเราจะต้องให้เวลาและความสนใจในการ เป็นตัวของตัวเองขณะที่พูด
จนสามารถพัฒนาให้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า บุคลิกบนเวที ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องหมายทางการค้าของเรา
เราสามารถใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือที่มีพลังที่สุด ในการก้าวไปสู่จุดหมายอย่างที่เราต้องการได้
2. ชนะด้วยทักษะ
ซึ่งประกอบไปด้วย การใช้สีหน้า, กิริยาท่าทาง, การใช้เสียง และการใช้ความคิด
องค์ประกอบแรกที่จะกล่าวถึงนั้น ก็คือ การใช้สีหน้าสีหน้าที่จะทำให้เรากลายเป็นผู้ชนะได้นั้น
ต้องเป็นสีหน้าเปิดเผย ซึ่งจะทำให้การสนทนาเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
ซึ่งเราสามารถฝึกฝนโดยมองดูตนเองในกระจก แล้วลองแสดงออกทางสีหน้าที่มีเส้นในแนวนอนบนหน้าผาก
โดยการเลิกคิ้ว และ เบิกตา ที่สำคัญก็คือ การยิ้มซึ่งเปรียบเสมือนการเปิดประตู ความคิดด้วยความเป็นมิตรนั่นเอง
โดยเฉพาะการยิ้มในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็นกันเองระหว่างผู้พูดกับผู้ฟังยิ่งขึ้น
กิริยาท่าทาง ก็สำคัญเช่นเดียวกัน
เพราะกิริยาท่าทางจะช่วยให้เราสามารถเน้นย้ำสาร ที่เราต้องการสื่อได้สิ่งที่ต้องคำนึงถึงนั้น ก็คือ
กิริยาท่าทางต้องจริงใจ เหมาะสมกิริยาท่าทางที่จริงใจหมายถึง ดูเป็นธรรมชาติ ส่วนเหมาะสม หมายถึง
เหมาะกับ สิ่งที่เราพูด และเหมาะกับเวลากิริยาที่ถือได้ว่าคลาสิกที่สุด ก็คือ การจับมือ และสวมกอด
ท่าทางเช่นนี้จะทำให้ผู้ฟังเหมือน ถูกสวมกอดไว้ด้วยความคิด
เป็นวิธีของการพูดที่จะปิดช่องว่างทางกายภาพ ระหว่างตัวผู้พูดเองกับผู้ฟัง
ดิฉันมีแบบฝึกง่าย ๆ ที่จะทำให้ท่านกลายเป็นผู้ชนะด้วยอากัปกิริยาที่เหมาะสม ลองทำสีหน้าเปิดเผย
ค่อย ๆ เคลื่อนไหว มือมาข้างหน้า แล้วลองพูดคำว่า “วิเศษ”มันเหมือนกับการเติมพลังให้กับสิ่งที่พูด
ทำให้รู้สึกว่าเราหมายความอย่างที่พูด และ พูดอย่างมีความหมาย
ทักษะต่อมาก็คือ การใช้เสียงของเรา
เสียงถือเป็นเครื่องหมายการพูดที่สำคัญ ซึ่งเราจะต้องคำนึงถึง ความดังของเสียง, ระดับเสียง
และอัตราเร็วของเสียง เราต้องระวังสิ่งที่เรียกว่า สิ่งที่มากเกินไปและน้อยเกินไป
เมื่อเรามีสีหน้าที่เปิดเผยและร่างกายเปิดเสียง ที่เปล่งออกมาจะกลายเป็นเสียงที่ดีสุดของเราเลยทีเดียว
ดังนั้นท่วงทำนอง การพูดเกี่ยวข้องกับการใช้สีหน้า ร่างกาย
เสียงที่เหมาะสมถูกต้องและสัมพันธ์กันซึ่งล้วนประสานกันเพื่อสื่อ “สาร” ที่เราต้องการสู่ผู้ฟัง
เมื่อทำงานร่วมกันอย่างถูกต้อง ผู้ฟังก็จะเข้าใจสารของเราโดยไม่ต้องพยายามเลย
ทักษะประการสุดท้าย ก็คือ การใช้ความคิดของเราเอง
ความคิดก็เปรียบเสมือนเนื้อหา เป็นสิ่งที่เรารู้ และสำคัญอย่างยิ่ง ที่เราจะต้องคิดก่อนพูด
ซึ่งก่อนอื่นเราจะต้องมีการเตรียมตัวก่อนพูด ต้องมีการเตรียมตัวด้วยการเขียนบทพูด
เพื่อให้พูดได้กระชับไม่เยิ่นเย่อสามารถพูดได้อย่างชัดเจน ผู้ฟังจับประเด็นได้
จงจำไว้ว่า การสื่อสารก็คือการถ่ายทอด และส่งผ่านความคิดของเราไปสู่ผู้อื่น
เมื่อความคิดเหล่านี้ถูกหันเหหรือผู้ฟังง่วงเหงาหาวนอนไปแล้ว การสื่อสารก็ล้มเหลว
จงจำไว้ว่าการสื่อสารควรจะเป็นกิจกรรมที่กอปรด้วยความรักทางปัญญา
"ฉันต้องการให้สารของฉันเข้าไปในความคิดของเธอ ฉันต้องการให้เธอรับสารของฉัน
และฉันไม่ต้องการทำอะไรก็ตาม ที่หันเหความเข้าใจของเธอจากสารของฉัน"
3. ชนะด้วยความมั่นใจ
สำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้อง "สื่อ” สารของเราด้วยความมั่นใจ
เพราะถ้าหากเราทำไม่ได้ ผู้ฟังก็จะขาดความเชื่อมั่นในตัวเรา
การหายใจที่ถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญ ที่นำไปสู่ความมั่นใจเพราะจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย
จนเราสามารถ “ควบคุม” ร่างกายของเราได้มากกว่าร่างกาย “ควบคุม” เรา
ลองเริ่มต้นด้วยการหายใจเข้าช้า ๆนุ่มนวลมีพลังแต่อย่าหายใจลึก ๆ แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออก
ทีนี้ลองใช้นิ้วกดที่กะบังลม เมื่อหายใจออกเมื่อหายใจเข้า ค่อย ๆ เคลื่อนนิ้วออก ลองทำ 3 - 4 ครั้ง
หลับตาและทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง จะสังเกต ได้ว่าเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด ไม่กังวล ไม่รู้สึกกลัว
ดังนั้น หากเกิดความรู้สึกไม่พึงประสงค์ อันรบกวนความมั่นใจ ของเรา ลองใช้วิธีนี้ดูนะคะ
อันพูดนั้นไม่ยากปานใดเพื่อนเอย
ใครที่มีลิ้นอาจพูดได้
สำคัญแต่ในคำที่พูดนั่นเอง
อาจจะทำให้ชอบและชัง
การพูดนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่ต้องมีการศึกษา และการฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชำนาญ
นักพูดที่ดีไม่ต้องอาศัย “พรสวรรค์” เสมอไปจงอย่าเอาความเชื่อที่ว่า “เราไม่มีพรสวรรค์เราทำได้ไม่ดีหรอก”
เพราะนั่นจะเป็นอุปสรรคต่อ การพัฒนาตนเองเป็นอย่างมาก
จงจำไว้ว่า ผู้ก้าวหน้าพึงอาศัย “พรแสวง” อย่ารอคอย “พรสวรรค์” เลย
เรามาฝึกฝนการพูดจากหลักการพูดทั้ง 3 ประการในวันนี้กันดีกว่านะคะ
เพื่อที่ว่าวันหนึ่งเราจะกลายเป็นผู้ชนะ อย่างแท้จริง.
โดย เงินยวง ใจเที่ยง
ที่มา : http://www.human.cmu.ac.th
ภาพจาก :http://www.gettyimages.com/detail/stk147465rke/Stockbyte
แต่การพูดให้ดี ให้น่าประทับใจจนสามารถชนะใจผู้อื่นได้นั้น กลับดูเป็นสิ่งที่ยากสำหรับใคร ๆ หลายคน
เคยประหลาดใจบ้างหรือไม่ว่า ความคิดที่เฉียบแหลมของเรา เมื่อผ่านการพูดไปสู่ผู้ฟังแล้ว
เหตุใดพลังของมันจึงอ่อนด้อยลงไปจนเกิดอาการที่เรียกว่า
“พูดไม่ได้ดั่งใจขึ้นมาในอกนั้นก็เพราะว่า การพูดนั้นแตกต่างจากการคิดนะคะ
ช่องว่างที่เกิดขึ้นกับสิ่งสองสิ่งนี้เราจำเป็น ที่จะต้องมีสะพานสำคัญสำหรับทอดข้าม ไปสะพานอันนั้นได้แก่
ตัวเรา และ วิธีการพูดของเราเอง
“ยุทธวิธีการพูด”ก็คือแหล่งวัตถุดิบ สำหรับสร้างสะพานน้อย ๆ อันนั้นนั่นเอง
เราควรมีวิธีการพูดอย่างไรให้ตรงจิตใจ น่าประทับใจในทวงทีลีลาที่มีสไตล์เป็นของเราเอง
จากการที่ดิฉันได้ทำการค้นคว้าหาข้อมูลจากหนังสือยุทธวิธีการพูด ของ อาร์ช ลัสต์เบริ์ก
ทำให้ตัวดิฉันรู้สึกมั่นใจว่า “เราทำได้”และคิดว่าทุก ๆ คนก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
หลักการพูดที่สำคัญ ๆ ที่จะทำให้เราเป็นผู้ชนะ เราต้องชนะด้วยหลัก 3 ประการด้วยกันคือ
1.ชนะอย่างมีสไตล์
สไตล์เฉพาะตนเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่เหมือนใคร นักพูดที่ดีต้องมีท่วงทำนองเป็นของตนเอง
ซึ่งถ้าหากขาดจุดนี้ตัวเราเองดุจเป็นของโหล
การที่เราจะทำอย่างนี้ได้นั้น ก่อนอื่นเราจะต้องให้เวลาและความสนใจในการ เป็นตัวของตัวเองขณะที่พูด
จนสามารถพัฒนาให้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า บุคลิกบนเวที ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องหมายทางการค้าของเรา
เราสามารถใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือที่มีพลังที่สุด ในการก้าวไปสู่จุดหมายอย่างที่เราต้องการได้
2. ชนะด้วยทักษะ
ซึ่งประกอบไปด้วย การใช้สีหน้า, กิริยาท่าทาง, การใช้เสียง และการใช้ความคิด
องค์ประกอบแรกที่จะกล่าวถึงนั้น ก็คือ การใช้สีหน้าสีหน้าที่จะทำให้เรากลายเป็นผู้ชนะได้นั้น
ต้องเป็นสีหน้าเปิดเผย ซึ่งจะทำให้การสนทนาเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
ซึ่งเราสามารถฝึกฝนโดยมองดูตนเองในกระจก แล้วลองแสดงออกทางสีหน้าที่มีเส้นในแนวนอนบนหน้าผาก
โดยการเลิกคิ้ว และ เบิกตา ที่สำคัญก็คือ การยิ้มซึ่งเปรียบเสมือนการเปิดประตู ความคิดด้วยความเป็นมิตรนั่นเอง
โดยเฉพาะการยิ้มในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็นกันเองระหว่างผู้พูดกับผู้ฟังยิ่งขึ้น
กิริยาท่าทาง ก็สำคัญเช่นเดียวกัน
เพราะกิริยาท่าทางจะช่วยให้เราสามารถเน้นย้ำสาร ที่เราต้องการสื่อได้สิ่งที่ต้องคำนึงถึงนั้น ก็คือ
กิริยาท่าทางต้องจริงใจ เหมาะสมกิริยาท่าทางที่จริงใจหมายถึง ดูเป็นธรรมชาติ ส่วนเหมาะสม หมายถึง
เหมาะกับ สิ่งที่เราพูด และเหมาะกับเวลากิริยาที่ถือได้ว่าคลาสิกที่สุด ก็คือ การจับมือ และสวมกอด
ท่าทางเช่นนี้จะทำให้ผู้ฟังเหมือน ถูกสวมกอดไว้ด้วยความคิด
เป็นวิธีของการพูดที่จะปิดช่องว่างทางกายภาพ ระหว่างตัวผู้พูดเองกับผู้ฟัง
ดิฉันมีแบบฝึกง่าย ๆ ที่จะทำให้ท่านกลายเป็นผู้ชนะด้วยอากัปกิริยาที่เหมาะสม ลองทำสีหน้าเปิดเผย
ค่อย ๆ เคลื่อนไหว มือมาข้างหน้า แล้วลองพูดคำว่า “วิเศษ”มันเหมือนกับการเติมพลังให้กับสิ่งที่พูด
ทำให้รู้สึกว่าเราหมายความอย่างที่พูด และ พูดอย่างมีความหมาย
ทักษะต่อมาก็คือ การใช้เสียงของเรา
เสียงถือเป็นเครื่องหมายการพูดที่สำคัญ ซึ่งเราจะต้องคำนึงถึง ความดังของเสียง, ระดับเสียง
และอัตราเร็วของเสียง เราต้องระวังสิ่งที่เรียกว่า สิ่งที่มากเกินไปและน้อยเกินไป
เมื่อเรามีสีหน้าที่เปิดเผยและร่างกายเปิดเสียง ที่เปล่งออกมาจะกลายเป็นเสียงที่ดีสุดของเราเลยทีเดียว
ดังนั้นท่วงทำนอง การพูดเกี่ยวข้องกับการใช้สีหน้า ร่างกาย
เสียงที่เหมาะสมถูกต้องและสัมพันธ์กันซึ่งล้วนประสานกันเพื่อสื่อ “สาร” ที่เราต้องการสู่ผู้ฟัง
เมื่อทำงานร่วมกันอย่างถูกต้อง ผู้ฟังก็จะเข้าใจสารของเราโดยไม่ต้องพยายามเลย
ทักษะประการสุดท้าย ก็คือ การใช้ความคิดของเราเอง
ความคิดก็เปรียบเสมือนเนื้อหา เป็นสิ่งที่เรารู้ และสำคัญอย่างยิ่ง ที่เราจะต้องคิดก่อนพูด
ซึ่งก่อนอื่นเราจะต้องมีการเตรียมตัวก่อนพูด ต้องมีการเตรียมตัวด้วยการเขียนบทพูด
เพื่อให้พูดได้กระชับไม่เยิ่นเย่อสามารถพูดได้อย่างชัดเจน ผู้ฟังจับประเด็นได้
จงจำไว้ว่า การสื่อสารก็คือการถ่ายทอด และส่งผ่านความคิดของเราไปสู่ผู้อื่น
เมื่อความคิดเหล่านี้ถูกหันเหหรือผู้ฟังง่วงเหงาหาวนอนไปแล้ว การสื่อสารก็ล้มเหลว
จงจำไว้ว่าการสื่อสารควรจะเป็นกิจกรรมที่กอปรด้วยความรักทางปัญญา
"ฉันต้องการให้สารของฉันเข้าไปในความคิดของเธอ ฉันต้องการให้เธอรับสารของฉัน
และฉันไม่ต้องการทำอะไรก็ตาม ที่หันเหความเข้าใจของเธอจากสารของฉัน"
3. ชนะด้วยความมั่นใจ
สำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้อง "สื่อ” สารของเราด้วยความมั่นใจ
เพราะถ้าหากเราทำไม่ได้ ผู้ฟังก็จะขาดความเชื่อมั่นในตัวเรา
การหายใจที่ถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญ ที่นำไปสู่ความมั่นใจเพราะจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย
จนเราสามารถ “ควบคุม” ร่างกายของเราได้มากกว่าร่างกาย “ควบคุม” เรา
ลองเริ่มต้นด้วยการหายใจเข้าช้า ๆนุ่มนวลมีพลังแต่อย่าหายใจลึก ๆ แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออก
ทีนี้ลองใช้นิ้วกดที่กะบังลม เมื่อหายใจออกเมื่อหายใจเข้า ค่อย ๆ เคลื่อนนิ้วออก ลองทำ 3 - 4 ครั้ง
หลับตาและทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง จะสังเกต ได้ว่าเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด ไม่กังวล ไม่รู้สึกกลัว
ดังนั้น หากเกิดความรู้สึกไม่พึงประสงค์ อันรบกวนความมั่นใจ ของเรา ลองใช้วิธีนี้ดูนะคะ
อันพูดนั้นไม่ยากปานใดเพื่อนเอย
ใครที่มีลิ้นอาจพูดได้
สำคัญแต่ในคำที่พูดนั่นเอง
อาจจะทำให้ชอบและชัง
การพูดนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่ต้องมีการศึกษา และการฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชำนาญ
นักพูดที่ดีไม่ต้องอาศัย “พรสวรรค์” เสมอไปจงอย่าเอาความเชื่อที่ว่า “เราไม่มีพรสวรรค์เราทำได้ไม่ดีหรอก”
เพราะนั่นจะเป็นอุปสรรคต่อ การพัฒนาตนเองเป็นอย่างมาก
จงจำไว้ว่า ผู้ก้าวหน้าพึงอาศัย “พรแสวง” อย่ารอคอย “พรสวรรค์” เลย
เรามาฝึกฝนการพูดจากหลักการพูดทั้ง 3 ประการในวันนี้กันดีกว่านะคะ
เพื่อที่ว่าวันหนึ่งเราจะกลายเป็นผู้ชนะ อย่างแท้จริง.
โดย เงินยวง ใจเที่ยง
ที่มา : http://www.human.cmu.ac.th
ภาพจาก :http://www.gettyimages.com/detail/stk147465rke/Stockbyte
เทคนิคการสร้างภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image) ให้ประทับใจ
คุณเข้าใจคำว่าภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image) มากน้อยแค่ไหน
และคุณคิดว่าภาพลักษณ์ของตนเองมีความสำคัญบ้างหรือไม่
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจความหมายของคำว่าภาพลักษณ์กันก่อนดีกว่า
ภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image) หมายถึง บุคลิกลักษณะ ความสามารถหรือสิ่งที่คุณเป็นและแสดงออกมา
ซึ่งจะส่งผลต่อการรับรู้ของผู้พบเห็นเกี่ยวกับลักษณะ บุคลิกภาพ และศักยภาพของตัวคุณ
ภาพลักษณ์ของตนเองสำคัญไฉน…หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าภาพลักษณ์ของตนเองเป็นสิ่งสำคัญมาก
จนทำให้ไม่ใส่ใจและไม่ดูแลตนเอง โดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองหรือคิดอย่างไร
คุณรู้ไหมว่าภาพลักษณ์ที่ดูไม่ดีจะส่งผลต่อการติดต่อประสานงาน
การขอความร่วมมือและความช่วยเหลือต่าง ๆ จากบุคคลอื่น
การที่คุณมีภาพลักษณ์และการแสดงออกที่ดี จะเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจให้ผู้ที่พบเห็น
หรือคนที่ติดต่อด้วยอยากเข้าใกล้ อยากให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือกับคุณเอง
ในที่สุดจะนำคุณไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ที่คุณได้รับการยอมรับ การสนับสนุน
ความร่วมมือช่วยเหลือจากทั้งลูกค้า หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง และคนรอบข้างของตัวคุณเอง
ดังนั้นการสร้างภาพลักษณ์ของตัวคุณจึงเป็นที่สิ่งสำคัญ แบบว่าภาพลักษณ์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
ทั้งนี้การทำให้ภาพลักษณ์ของตนเองดูดี และเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นนั้น ไม่ยาก
หากคุณคิดจะปรับเปลี่ยนตัวเอง เพื่อให้คุณมีบุคลิกภาพและภาพลักษณ์ที่ดี ดังต่อไปนี้
★ การจัดแต่งทรงผม เสื้อผ้า และใบหน้า
คนทำงานหลายคนอ้างว่าไม่มีเวลาที่จะใส่ใจต่อการจัดแต่งทรงผม เสื้อผ้า และใบหน้า
คุณเชื่อไหมว่าบางคนเดินเข้ามาทำงาน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าดูเหมือนไม่ได้รีด ใบหน้าดูมอมแมมหรือไม่ชวนมอง
ภาพที่พบเห็นเหล่านี้เป็นภาพที่ไม่น่าดู และไม่มีเสน่ห์ชวนให้อยากพูดคุยหรือช่วยเหลือเอาซะเลย
ดังนั้นขอให้คุณเริ่มเอาใจใส่กับเรื่องเหล่านี้ โดยการจัดแต่งทรงผมให้ดูเหมาะสม
การสวมเสื้อผ้าที่สะอาดและถูกกาลเทศะ รวมทั้งการดูแลใบหน้าให้สดใส
ถ้าเป็นผู้หญิงอาจแต่งหน้าให้ดูสวยงาม แต่ถ้าเป็นผู้ชายควรโกนหนวดเคราให้เรียบร้อยแลดูสะอาดอยู่เสมอ
เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นภาพลักษณ์ภายนอกของคุณ ที่จะทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิด ความประทับใจ
และอยากเข้ามาพูดคุย หรือติดต่อสมาคมด้วย
★ การเดิน การนั่ง และการยืน
ท่วงท่าในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง และการยืน
เป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อบุคลิกภาพที่คนอื่นมองคุณเอง ขอให้คุณสำรวจว่าคุณมีท่าเดิน ท่านั่ง และท่ายืนอย่างไร
คุณไม่ควรเร่งรีบเดิน หรือเดินแบบปลงชีวิต หรือเดินแบบห่อตัว
รวมทั้งยืนและนั่งหลังค่อมหรือเชิดหน้าจนเกินไป
ดิฉันขอเสนอแนะว่าคุณควรจะมีท่าเดิน นั่งและยืนให้สง่า หลังตรง เวลาเดินให้แขนแกว่งไปมาอย่างพอเหมาะ
คุณเชื่อไหมว่าท่วงท่าที่แสดงออกมาไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง และการยืน
สามารถบ่งบอกถึงบารมีหรือตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณได้
★ การใช้น้ำเสียง และคำพูด
เสน่ห์ที่ดึงดูดใจให้คุณเป็นคนน่าคบหาก็คือ การพูด พบว่าคำพูดสามารถทำให้เปลี่ยนจากมิตรเป็นศัตรู
และเปลี่ยนจากศัตรูไปเป็นมิตรได้ ดังนั้นคุณควรจะใช้คำพูดที่ไพเราะ สุภาพ ถูกกาลเทศะ
คุณไม่ควรใช้คำพูดที่ก้าวร้าวหรือดูถูกผู้อื่น รวมทั้งการใช้น้ำเสียงและจังหวะในการพูดสื่อสารกับคนอื่น
ควรมีจังหวะจะโคนเพื่อจูงใจและเชิญชวนให้ผู้ฟังสนใจและมีความคิด ความรู้สึกคล้อยตามในสิ่งที่พูด
ขอให้คุณตระหนักไว้เสมอว่า คำพูดที่คุณพูดอย่างสุภาพ ไพเราะ และถูกต้องตามกาลเทศะนั้น
จะทำให้คุณเองมีเสน่ห์ชวนพูดคุยด้วย ทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกเป็นกันเองและเป็นมิตรด้วย
นอกจากนี้คำพูดและน้ำเสียงยังสามารถทำนายถึงนิสัยคุณได้อีกด้วย เช่น
คนที่พูดเร็ว จะมีนิสัยใจร้อน รีบเร่งทำงานให้เสร็จ
ส่วนคนที่พูดช้า แบบค่อย ๆ เรียบเรียงคำพูดนั้น จะเป็นคนที่คิดและทำอะไรช้าตามไปด้วย
คุณลักษณะส่วนบุคคล
คุณลักษณะส่วนบุคคล หรือ Personal Attribute เป็นทัศนคติ ความคิด ความเชื่อ
หรือแรงจูงใจที่มีอยู่ภายในตัวคุณเองซึ่งเป็นสิ่งที่คุณมี และถูกปลูกผังจนติดเป็นนิสัย
คุณลักษณะส่วนบุคคลจึงจัดได้ว่าเป็นภาพลักษณ์ ที่คนอื่นมองตัวคุณอย่างหนึ่ง
ผู้ที่มีคุณลักษณะส่วนบุคคลที่ดีจะทำให้คนอื่นอยากเข้าใกล้ อยากคบหาและพูดคุยด้วย
คุณลักษณะส่วนบุคคลที่สำคัญและขอนำเสนอ ได้แก่
★ การควบคุมอารมณ์และความเครียด
การแสดงกิริยา คำพูด และพฤติกรรมอย่างเหมาะสม เมื่อคุณเผชิญกับสภาวะความเครียด
และปัญหาที่รุมเร้าคุณอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้คุณมีจิตใจที่สงบ มีสติรู้ว่าควรจะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการใด
★ การมองโลกในแง่ดี
เป็นการคิด ทำ และพูดแต่สิ่งดี ๆ และสร้างสรรค์กับตนเอง และผู้อื่น ไม่มองตนเองและคนอื่นในแง่ไม่ดี
มีความมั่นใจและศรัทธาในตนเองและผู้อื่นอย่างจริงใจ คนที่มองโลกในแง่ดีจะทำให้มีเสน่ห์ชวนอยู่ใกล้ด้วย
เนื่องจากเวลาที่พูดคุยด้วยแล้วจะรู้สึกสบายใจ รู้สึกว่าชีวิตนี้ยังมีหวัง
★ ความกระตือรือร้น
เป็นภาพลักษณ์ที่เห็นได้จากพฤติกรรมที่มีความรู้สึกตื่นตัว และขวนขวายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
รวมทั้งมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้ประสบผลสำเร็จ
ภาพลักษณ์ของคนที่มีความกระตือรือร้น ย่อมจะทำได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้ ทำงานหรือโครงการพิเศษ
หรืองานที่เพิ่มมูลค่าให้กับตนเอง มากกว่าภาพลักษณ์ของคนที่ขาดความกระตือรือร้นในชีวิตการทำงาน
★ การรักษาความลับ
ภาพลักษณ์ของคนที่สามารถรักษาความลับได้นั้น
จะต้องเป็นคนที่รู้จักแยกแยะ ข้อมูลที่ควรพูดหรือไม่ควรพูด ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามระดับของบุคคลต่าง ๆ
ทั้งภายในและ/หรือภายนอกหน่วยงาน
★ ความเชื่อมั่นในตนเอง
สังเกตเห็นได้จากการแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองคิด ทำ และพูดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม
และมีข้อมูลและเหตุผลมาสนับสนุน
ภาพลักษณ์ของคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองนั้น ย่อมได้รับการยอมรับและไว้วางใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย
และพวกเค้าจะปฏิบัติตามในสิ่งที่คุณคิดและพูดอย่างมั่นใจ
★ การมีกาลเทศะ
การรู้ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ หรือควรพูดในเรื่องใด และสถานการณ์ใด จัดได้ว่าเป็นภาพลักษณ์อย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นการรู้จักการวางตนให้เหมาะสมกับ กลุ่มคน เวลา สถานการณ์ จังหวะ และโอกาส
พูดง่าย ๆ ว่าเป็นคนที่มีกาลเทศะ พบว่าคนที่มีกาลเทศะจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผู้ใหญ่หรือคนที่พบเห็น
เอ็นดู เป็นที่รักและได้รับความร่วมมือ ความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ดัง นั้นภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image) ที่ดูดีเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทรงผม เสื้อผ้า ใบหน้า
การมีท่านั่ง ยืน และเดินที่งามสง่า รวมทั้งพฤติกรรมการแสดงออกถึงคุณลักษณะส่วนบุคคลที่เหมาะสม
จะทำให้คุณเป็นผู้หนึ่งที่มีเสน่ห์ และชวนให้คนอื่นอยากให้ความร่วมมือ และช่วยเหลือในกิจการงานของคุณ
ที่มา : http://www.hrtothai.com
ภาพจาก : http://my.barackobama.com
และคุณคิดว่าภาพลักษณ์ของตนเองมีความสำคัญบ้างหรือไม่
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจความหมายของคำว่าภาพลักษณ์กันก่อนดีกว่า
ภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image) หมายถึง บุคลิกลักษณะ ความสามารถหรือสิ่งที่คุณเป็นและแสดงออกมา
ซึ่งจะส่งผลต่อการรับรู้ของผู้พบเห็นเกี่ยวกับลักษณะ บุคลิกภาพ และศักยภาพของตัวคุณ
ภาพลักษณ์ของตนเองสำคัญไฉน…หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าภาพลักษณ์ของตนเองเป็นสิ่งสำคัญมาก
จนทำให้ไม่ใส่ใจและไม่ดูแลตนเอง โดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองหรือคิดอย่างไร
คุณรู้ไหมว่าภาพลักษณ์ที่ดูไม่ดีจะส่งผลต่อการติดต่อประสานงาน
การขอความร่วมมือและความช่วยเหลือต่าง ๆ จากบุคคลอื่น
การที่คุณมีภาพลักษณ์และการแสดงออกที่ดี จะเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจให้ผู้ที่พบเห็น
หรือคนที่ติดต่อด้วยอยากเข้าใกล้ อยากให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือกับคุณเอง
ในที่สุดจะนำคุณไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ที่คุณได้รับการยอมรับ การสนับสนุน
ความร่วมมือช่วยเหลือจากทั้งลูกค้า หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง และคนรอบข้างของตัวคุณเอง
ดังนั้นการสร้างภาพลักษณ์ของตัวคุณจึงเป็นที่สิ่งสำคัญ แบบว่าภาพลักษณ์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
ทั้งนี้การทำให้ภาพลักษณ์ของตนเองดูดี และเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นนั้น ไม่ยาก
หากคุณคิดจะปรับเปลี่ยนตัวเอง เพื่อให้คุณมีบุคลิกภาพและภาพลักษณ์ที่ดี ดังต่อไปนี้
★ การจัดแต่งทรงผม เสื้อผ้า และใบหน้า
คนทำงานหลายคนอ้างว่าไม่มีเวลาที่จะใส่ใจต่อการจัดแต่งทรงผม เสื้อผ้า และใบหน้า
คุณเชื่อไหมว่าบางคนเดินเข้ามาทำงาน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าดูเหมือนไม่ได้รีด ใบหน้าดูมอมแมมหรือไม่ชวนมอง
ภาพที่พบเห็นเหล่านี้เป็นภาพที่ไม่น่าดู และไม่มีเสน่ห์ชวนให้อยากพูดคุยหรือช่วยเหลือเอาซะเลย
ดังนั้นขอให้คุณเริ่มเอาใจใส่กับเรื่องเหล่านี้ โดยการจัดแต่งทรงผมให้ดูเหมาะสม
การสวมเสื้อผ้าที่สะอาดและถูกกาลเทศะ รวมทั้งการดูแลใบหน้าให้สดใส
ถ้าเป็นผู้หญิงอาจแต่งหน้าให้ดูสวยงาม แต่ถ้าเป็นผู้ชายควรโกนหนวดเคราให้เรียบร้อยแลดูสะอาดอยู่เสมอ
เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นภาพลักษณ์ภายนอกของคุณ ที่จะทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิด ความประทับใจ
และอยากเข้ามาพูดคุย หรือติดต่อสมาคมด้วย
★ การเดิน การนั่ง และการยืน
ท่วงท่าในการแสดงออกไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง และการยืน
เป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อบุคลิกภาพที่คนอื่นมองคุณเอง ขอให้คุณสำรวจว่าคุณมีท่าเดิน ท่านั่ง และท่ายืนอย่างไร
คุณไม่ควรเร่งรีบเดิน หรือเดินแบบปลงชีวิต หรือเดินแบบห่อตัว
รวมทั้งยืนและนั่งหลังค่อมหรือเชิดหน้าจนเกินไป
ดิฉันขอเสนอแนะว่าคุณควรจะมีท่าเดิน นั่งและยืนให้สง่า หลังตรง เวลาเดินให้แขนแกว่งไปมาอย่างพอเหมาะ
คุณเชื่อไหมว่าท่วงท่าที่แสดงออกมาไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง และการยืน
สามารถบ่งบอกถึงบารมีหรือตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณได้
★ การใช้น้ำเสียง และคำพูด
เสน่ห์ที่ดึงดูดใจให้คุณเป็นคนน่าคบหาก็คือ การพูด พบว่าคำพูดสามารถทำให้เปลี่ยนจากมิตรเป็นศัตรู
และเปลี่ยนจากศัตรูไปเป็นมิตรได้ ดังนั้นคุณควรจะใช้คำพูดที่ไพเราะ สุภาพ ถูกกาลเทศะ
คุณไม่ควรใช้คำพูดที่ก้าวร้าวหรือดูถูกผู้อื่น รวมทั้งการใช้น้ำเสียงและจังหวะในการพูดสื่อสารกับคนอื่น
ควรมีจังหวะจะโคนเพื่อจูงใจและเชิญชวนให้ผู้ฟังสนใจและมีความคิด ความรู้สึกคล้อยตามในสิ่งที่พูด
ขอให้คุณตระหนักไว้เสมอว่า คำพูดที่คุณพูดอย่างสุภาพ ไพเราะ และถูกต้องตามกาลเทศะนั้น
จะทำให้คุณเองมีเสน่ห์ชวนพูดคุยด้วย ทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกเป็นกันเองและเป็นมิตรด้วย
นอกจากนี้คำพูดและน้ำเสียงยังสามารถทำนายถึงนิสัยคุณได้อีกด้วย เช่น
คนที่พูดเร็ว จะมีนิสัยใจร้อน รีบเร่งทำงานให้เสร็จ
ส่วนคนที่พูดช้า แบบค่อย ๆ เรียบเรียงคำพูดนั้น จะเป็นคนที่คิดและทำอะไรช้าตามไปด้วย
คุณลักษณะส่วนบุคคล
คุณลักษณะส่วนบุคคล หรือ Personal Attribute เป็นทัศนคติ ความคิด ความเชื่อ
หรือแรงจูงใจที่มีอยู่ภายในตัวคุณเองซึ่งเป็นสิ่งที่คุณมี และถูกปลูกผังจนติดเป็นนิสัย
คุณลักษณะส่วนบุคคลจึงจัดได้ว่าเป็นภาพลักษณ์ ที่คนอื่นมองตัวคุณอย่างหนึ่ง
ผู้ที่มีคุณลักษณะส่วนบุคคลที่ดีจะทำให้คนอื่นอยากเข้าใกล้ อยากคบหาและพูดคุยด้วย
คุณลักษณะส่วนบุคคลที่สำคัญและขอนำเสนอ ได้แก่
★ การควบคุมอารมณ์และความเครียด
การแสดงกิริยา คำพูด และพฤติกรรมอย่างเหมาะสม เมื่อคุณเผชิญกับสภาวะความเครียด
และปัญหาที่รุมเร้าคุณอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้คุณมีจิตใจที่สงบ มีสติรู้ว่าควรจะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการใด
★ การมองโลกในแง่ดี
เป็นการคิด ทำ และพูดแต่สิ่งดี ๆ และสร้างสรรค์กับตนเอง และผู้อื่น ไม่มองตนเองและคนอื่นในแง่ไม่ดี
มีความมั่นใจและศรัทธาในตนเองและผู้อื่นอย่างจริงใจ คนที่มองโลกในแง่ดีจะทำให้มีเสน่ห์ชวนอยู่ใกล้ด้วย
เนื่องจากเวลาที่พูดคุยด้วยแล้วจะรู้สึกสบายใจ รู้สึกว่าชีวิตนี้ยังมีหวัง
★ ความกระตือรือร้น
เป็นภาพลักษณ์ที่เห็นได้จากพฤติกรรมที่มีความรู้สึกตื่นตัว และขวนขวายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
รวมทั้งมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้ประสบผลสำเร็จ
ภาพลักษณ์ของคนที่มีความกระตือรือร้น ย่อมจะทำได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้ ทำงานหรือโครงการพิเศษ
หรืองานที่เพิ่มมูลค่าให้กับตนเอง มากกว่าภาพลักษณ์ของคนที่ขาดความกระตือรือร้นในชีวิตการทำงาน
★ การรักษาความลับ
ภาพลักษณ์ของคนที่สามารถรักษาความลับได้นั้น
จะต้องเป็นคนที่รู้จักแยกแยะ ข้อมูลที่ควรพูดหรือไม่ควรพูด ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามระดับของบุคคลต่าง ๆ
ทั้งภายในและ/หรือภายนอกหน่วยงาน
★ ความเชื่อมั่นในตนเอง
สังเกตเห็นได้จากการแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองคิด ทำ และพูดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม
และมีข้อมูลและเหตุผลมาสนับสนุน
ภาพลักษณ์ของคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองนั้น ย่อมได้รับการยอมรับและไว้วางใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย
และพวกเค้าจะปฏิบัติตามในสิ่งที่คุณคิดและพูดอย่างมั่นใจ
★ การมีกาลเทศะ
การรู้ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ หรือควรพูดในเรื่องใด และสถานการณ์ใด จัดได้ว่าเป็นภาพลักษณ์อย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นการรู้จักการวางตนให้เหมาะสมกับ กลุ่มคน เวลา สถานการณ์ จังหวะ และโอกาส
พูดง่าย ๆ ว่าเป็นคนที่มีกาลเทศะ พบว่าคนที่มีกาลเทศะจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผู้ใหญ่หรือคนที่พบเห็น
เอ็นดู เป็นที่รักและได้รับความร่วมมือ ความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ดัง นั้นภาพลักษณ์ของตนเอง (Self Image) ที่ดูดีเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทรงผม เสื้อผ้า ใบหน้า
การมีท่านั่ง ยืน และเดินที่งามสง่า รวมทั้งพฤติกรรมการแสดงออกถึงคุณลักษณะส่วนบุคคลที่เหมาะสม
จะทำให้คุณเป็นผู้หนึ่งที่มีเสน่ห์ และชวนให้คนอื่นอยากให้ความร่วมมือ และช่วยเหลือในกิจการงานของคุณ
ที่มา : http://www.hrtothai.com
ภาพจาก : http://my.barackobama.com
3 พฤติกรรมแย่ๆ ที่เป็นตัวการบั่นทอนสายสัมพันธ์
ในบางครั้ง เราอาจจะมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ หรืออาจจะไม่รู้ตัว...
เราใช้ชีวิตไปตามปกติธรรมดา แต่กลับมีบางสิ่งทำลายสายสัมพันธ์ของเราอยู่
พฤติกรรมแย่ๆ บางอย่างที่เราไม่เคยเอะใจ กลับมีพลังในการทำลายความสัมพันธ์ ระหว่างตัวเราและคนสนิท
รวมไปถึงคนรอบข้างทีละน้อยๆ
พฤติกรรมแย่ๆ 3 แบบ ที่ยกมาให้ดูเป็นตัวอย่างนี้ คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน
แต่ก็สามารถแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นได้
พฤติกรรมแย่ๆ ลำดับที่ 1 : ไม่ตั้งใจฟัง
สิ่งที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้อื่นได้เป็นอย่างมากก็คือ เพียงแค่ตั้งใจฟัง เวลาที่เขาหรือเธอกำลังพูด
การตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ คือรูปแบบการสื่อสาร ที่จะสร้างความรู้สึกและสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี ได้อย่างง่ายๆ
ฝึกการตั้งใจฟัง ให้เคยชิน จนกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ
แล้วตัวคุณจะค่อยๆ กลายเป็นที่ชื่นชอบ และเป็นที่รักใคร่สำหรับผู้อื่น
นี่เป็นพื้นฐานลำดับแรกๆ ในการพัฒนาสายสัมพันธ์ทุกรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคู่ ครอบครัว เพื่อน และในที่ทำงาน
เคล็ดลับสำหรับการฟัง มีดังนี้..
- ไม่พูดแทรกขึ้นมา ฟังให้จบประโยคเสียก่อน
- ไม่พูดว่า “รู้แล้วๆ “ หรือใช้คำพูดในลักษณะนี้ หากผู้พูดยังพูดไม่จบ
เพราะคุณอาจจะพลาดช๊อตเด็ด หรือสาระสำคัญก็ได้
- ใช้คำว่า “ไม่” ให้น้อยลง แล้วลองใช้ประโยคเหล่านี้แทน “ผมว่านะ จริงๆ แล้ว”
หรือ “แต่อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือ... ” เมื่อคุณต้องการออกความคิดเห็น
- ใช้สายตาส่งความรู้สึก เมื่อกำลังพูดในลักษณะที่เผชิญหน้ากันอยู่
- สอดแทรกคำถามบ้าง เมื่อพูดจบ เพื่อแสดงให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าคุณกำลังตั้งใจฟัง
พฤติกรรมแย่ๆ ลำดับที่ 2 : ไม่รับฟังความคิดเห็น และพูดจาเยาะเย้ย
การพูดจาเยาะเย้ย หรือเย้ยหยัน อาจจะทำให้คุณรู้สึกสนุกสุดๆ
ซึ่งจริงๆ แล้วชาวคณะตลกคาเฟ่ หรือกลุ่มสังสรรค์ในวงสุราก็ชอบใช้มุขแบบนี้
แต่สำหรับคนสนิทของคุณ... คนรอบข้างของคุณ... เขา หรือเธอ
คงไม่สนุกกับการโดนกระแนะกระแหนสักเท่าไหร่
มีคำโบราณกล่าวเอาไว้ว่า “ถ้าคุณไม่มีอะไรดีๆ ที่จะพูดล่ะก็ คุณไม่ต้องพูดออกมาจะดีกว่า!”
การพูดจาให้ดี และการยอมรับฟังความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ของผู้อื่น
จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และทำให้คุณกลายเป็นคนที่น่านับถือขึ้นอีกมากทีเดียว
พฤติกรรมแย่ๆ ลำดับที่ 3 : พูดตอนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว
คำพูดหนึ่งคำ สองคำ หรือหลายๆ คำ เมื่อพูดออกไปแล้ว จะไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้...
โดยเฉพาะเวลาที่คุณกำลังโกรธอยู่
คำพูดที่พูดออกไปจะผสมกับความรุนแรง จนบางครั้งทำให้เผลอตัว พูดอะไรแย่ๆ ออกไป
คำพูดแย่ๆ ก็คืออาวุธชนิดหนึ่งที่ติดตัวเรามา ซึ่งสามารถสร้างแผลบาดลึกลงไปในจิตใจของผู้อื่นได้
มันจะทำให้คนๆ นั้น เกิดอาการเสียใจ
และในบางครั้งมันก็ย้อนกลับมาทำให้เรารู้สึกเสียใจ (ที่พูดอะไรแย่ๆ ออกไป) ได้อีกด้วย
คนโบร่ำโบราณ ได้บอกกล่าวเอาไว้ว่า “ถ้าคุณกำลังรู้สึกโกรธ
วิธีแก้อาการโกรธก็คือ ให้นับ 1 -10 อย่างช้าก่อนที่จะพูดอะไรออกไป หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะดีเอง”
ไม่ว่าจะเป็นสายสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด ที่บ้าน เพื่อน หรือที่ทำงาน ใจเย็นๆ ต่อกันเข้าไว้
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วยเหตุผล แทนการใช้อารมณ์เข้าห้ำหั่น ย่อมได้ผลลัพธ์ออกมายอดเยี่ยมเป็นที่สุด
ฝึกกันวันละนิด เพื่อชีวิตที่สดใส และสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม ด้วยความปราถนาดี
ที่มา : http://www.naddate.com
เราใช้ชีวิตไปตามปกติธรรมดา แต่กลับมีบางสิ่งทำลายสายสัมพันธ์ของเราอยู่
พฤติกรรมแย่ๆ บางอย่างที่เราไม่เคยเอะใจ กลับมีพลังในการทำลายความสัมพันธ์ ระหว่างตัวเราและคนสนิท
รวมไปถึงคนรอบข้างทีละน้อยๆ
พฤติกรรมแย่ๆ 3 แบบ ที่ยกมาให้ดูเป็นตัวอย่างนี้ คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน
แต่ก็สามารถแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นได้
พฤติกรรมแย่ๆ ลำดับที่ 1 : ไม่ตั้งใจฟัง
สิ่งที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้อื่นได้เป็นอย่างมากก็คือ เพียงแค่ตั้งใจฟัง เวลาที่เขาหรือเธอกำลังพูด
การตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ คือรูปแบบการสื่อสาร ที่จะสร้างความรู้สึกและสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี ได้อย่างง่ายๆ
ฝึกการตั้งใจฟัง ให้เคยชิน จนกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ
แล้วตัวคุณจะค่อยๆ กลายเป็นที่ชื่นชอบ และเป็นที่รักใคร่สำหรับผู้อื่น
นี่เป็นพื้นฐานลำดับแรกๆ ในการพัฒนาสายสัมพันธ์ทุกรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคู่ ครอบครัว เพื่อน และในที่ทำงาน
เคล็ดลับสำหรับการฟัง มีดังนี้..
- ไม่พูดแทรกขึ้นมา ฟังให้จบประโยคเสียก่อน
- ไม่พูดว่า “รู้แล้วๆ “ หรือใช้คำพูดในลักษณะนี้ หากผู้พูดยังพูดไม่จบ
เพราะคุณอาจจะพลาดช๊อตเด็ด หรือสาระสำคัญก็ได้
- ใช้คำว่า “ไม่” ให้น้อยลง แล้วลองใช้ประโยคเหล่านี้แทน “ผมว่านะ จริงๆ แล้ว”
หรือ “แต่อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือ... ” เมื่อคุณต้องการออกความคิดเห็น
- ใช้สายตาส่งความรู้สึก เมื่อกำลังพูดในลักษณะที่เผชิญหน้ากันอยู่
- สอดแทรกคำถามบ้าง เมื่อพูดจบ เพื่อแสดงให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าคุณกำลังตั้งใจฟัง
พฤติกรรมแย่ๆ ลำดับที่ 2 : ไม่รับฟังความคิดเห็น และพูดจาเยาะเย้ย
การพูดจาเยาะเย้ย หรือเย้ยหยัน อาจจะทำให้คุณรู้สึกสนุกสุดๆ
ซึ่งจริงๆ แล้วชาวคณะตลกคาเฟ่ หรือกลุ่มสังสรรค์ในวงสุราก็ชอบใช้มุขแบบนี้
แต่สำหรับคนสนิทของคุณ... คนรอบข้างของคุณ... เขา หรือเธอ
คงไม่สนุกกับการโดนกระแนะกระแหนสักเท่าไหร่
มีคำโบราณกล่าวเอาไว้ว่า “ถ้าคุณไม่มีอะไรดีๆ ที่จะพูดล่ะก็ คุณไม่ต้องพูดออกมาจะดีกว่า!”
การพูดจาให้ดี และการยอมรับฟังความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ของผู้อื่น
จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และทำให้คุณกลายเป็นคนที่น่านับถือขึ้นอีกมากทีเดียว
พฤติกรรมแย่ๆ ลำดับที่ 3 : พูดตอนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว
คำพูดหนึ่งคำ สองคำ หรือหลายๆ คำ เมื่อพูดออกไปแล้ว จะไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้...
โดยเฉพาะเวลาที่คุณกำลังโกรธอยู่
คำพูดที่พูดออกไปจะผสมกับความรุนแรง จนบางครั้งทำให้เผลอตัว พูดอะไรแย่ๆ ออกไป
คำพูดแย่ๆ ก็คืออาวุธชนิดหนึ่งที่ติดตัวเรามา ซึ่งสามารถสร้างแผลบาดลึกลงไปในจิตใจของผู้อื่นได้
มันจะทำให้คนๆ นั้น เกิดอาการเสียใจ
และในบางครั้งมันก็ย้อนกลับมาทำให้เรารู้สึกเสียใจ (ที่พูดอะไรแย่ๆ ออกไป) ได้อีกด้วย
คนโบร่ำโบราณ ได้บอกกล่าวเอาไว้ว่า “ถ้าคุณกำลังรู้สึกโกรธ
วิธีแก้อาการโกรธก็คือ ให้นับ 1 -10 อย่างช้าก่อนที่จะพูดอะไรออกไป หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะดีเอง”
ไม่ว่าจะเป็นสายสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด ที่บ้าน เพื่อน หรือที่ทำงาน ใจเย็นๆ ต่อกันเข้าไว้
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วยเหตุผล แทนการใช้อารมณ์เข้าห้ำหั่น ย่อมได้ผลลัพธ์ออกมายอดเยี่ยมเป็นที่สุด
ฝึกกันวันละนิด เพื่อชีวิตที่สดใส และสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม ด้วยความปราถนาดี
ที่มา : http://www.naddate.com
"มนุษยสัมพันธ์" เรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม
ปัจจุบันนี้เราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข หรืออาจจะมีทุกข์บ้าง หรือขัดแย้งในบางครั้ง
ก็คงต้องมี "มนุษยสัมพันธ์" เป็นตัวหลัก ในการที่จะเป็นตัวเชื่อมโยงความรู้สึกที่ดีต่อกัน
ความปรองดอง ความเป็นมิตรไมตรี รวมทั้งการเห็นอกเห็นใจ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ซึ่งทางจิตวิทยาได้วิเคราะห์ และให้ความหมายของคำว่า
"มนุษยสัมพันธ์" (HUMAN RELATIONS) คือ "การอยู่ร่วมกับคนอื่นด้วยความสุข"
แต่ปัญหามีอยู่ที่ว่า เหตุใดมนุษยสัมพันธ์ซึ่งฟังดูก็เป็นสิ่งที่ง่ายๆ ธรรมดาๆ
แต่คนโดยทั่วๆ ไป ก็ยังไม่สามารถจะปฏิบัติได้ด้วยดีนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร
หรือถ้าจะกล่าวง่ายๆ ก็คือว่าเหตุใดคนเราจึงทำดี หรือมีสัมพันธ์อันดีกับบุคคลทุกๆ คนไม่ได้
เช่น ความเกลียดชังผู้อื่น การอิจฉาริษยา ชอบพูดจาดูถูกดูหมิ่นหยาบคายต่อผู้อื่น
ไม่เห็นอกเห็นใจผู้ที่เดือดร้อนกว่าเรา มีความเห็นแก่ตัว ฯลฯ
ซึ่งเราคงต้องรู้สาเหตุว่าอะไรที่ทำให้คนเราขาดมนุษยสัมพันธ์นั้น
ถ้าพิจารณาเพียงผิวเผินอาจเป็นเพราะปัญหาความขัดแย้ง การไม่ชอบขี้หน้ากัน
หากเราลองวิเคราะห์พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วจะพบว่า
สาเหตุที่คนเราไม่มีมนุษยสัมพันธ์ดังกล่าวข้างต้นนั้น หาใช่เป็นสาเหตุใหญ่
แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้คนเราไม่มีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับคนทุกคนก็คือ อยู่ที่ตัวเรานั่นเอง
คือเราไม่ชอบเปลี่ยนแปลงที่จะทำความดีต่อผู้อื่น ชอบกระทำการใดๆ ที่ตัวเองต้องได้รับผลประโยชน์อย่างสูงสุด
จนทำให้ติดเป็นนิสัย จึงทำให้ไม่ชอบที่จะทำดี หรือมีมนุษยสัมพันธ์อันดีต่อผู้อื่นแล้ว
ซึ่งเราสามารถที่จะแก้ไขพฤติกรรมอันนี้ได้ไม่ยาก
ก่อนอื่นเราจะต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงตัวของเราเองให้ทำดี หรือหมั่นทำดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ
ความสัมพันธ์อันดี และความร่วมมือร่วมใจก็ย่อมเกิดขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งนี้อาจจะช้าหรือเร็วก็ได้
ถ้าคนเราสามารถทำได้ตามข้างต้นปัญหาต่างๆ อันมากมายก็ไม่เกิดขึ้น
เพราะคนเรามี "มนุษยสัมพันธ์" ที่อันดีต่อกันปัญหาต่างๆก็จะสามารถแก้ได้โดยไม่อยากเลยค่ะ..
ข้อมูลโดย : http://www.naewna.com
ที่มา : http://www.dmh.go.th
ก็คงต้องมี "มนุษยสัมพันธ์" เป็นตัวหลัก ในการที่จะเป็นตัวเชื่อมโยงความรู้สึกที่ดีต่อกัน
ความปรองดอง ความเป็นมิตรไมตรี รวมทั้งการเห็นอกเห็นใจ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ซึ่งทางจิตวิทยาได้วิเคราะห์ และให้ความหมายของคำว่า
"มนุษยสัมพันธ์" (HUMAN RELATIONS) คือ "การอยู่ร่วมกับคนอื่นด้วยความสุข"
แต่ปัญหามีอยู่ที่ว่า เหตุใดมนุษยสัมพันธ์ซึ่งฟังดูก็เป็นสิ่งที่ง่ายๆ ธรรมดาๆ
แต่คนโดยทั่วๆ ไป ก็ยังไม่สามารถจะปฏิบัติได้ด้วยดีนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร
หรือถ้าจะกล่าวง่ายๆ ก็คือว่าเหตุใดคนเราจึงทำดี หรือมีสัมพันธ์อันดีกับบุคคลทุกๆ คนไม่ได้
เช่น ความเกลียดชังผู้อื่น การอิจฉาริษยา ชอบพูดจาดูถูกดูหมิ่นหยาบคายต่อผู้อื่น
ไม่เห็นอกเห็นใจผู้ที่เดือดร้อนกว่าเรา มีความเห็นแก่ตัว ฯลฯ
ซึ่งเราคงต้องรู้สาเหตุว่าอะไรที่ทำให้คนเราขาดมนุษยสัมพันธ์นั้น
ถ้าพิจารณาเพียงผิวเผินอาจเป็นเพราะปัญหาความขัดแย้ง การไม่ชอบขี้หน้ากัน
หากเราลองวิเคราะห์พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วจะพบว่า
สาเหตุที่คนเราไม่มีมนุษยสัมพันธ์ดังกล่าวข้างต้นนั้น หาใช่เป็นสาเหตุใหญ่
แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้คนเราไม่มีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับคนทุกคนก็คือ อยู่ที่ตัวเรานั่นเอง
คือเราไม่ชอบเปลี่ยนแปลงที่จะทำความดีต่อผู้อื่น ชอบกระทำการใดๆ ที่ตัวเองต้องได้รับผลประโยชน์อย่างสูงสุด
จนทำให้ติดเป็นนิสัย จึงทำให้ไม่ชอบที่จะทำดี หรือมีมนุษยสัมพันธ์อันดีต่อผู้อื่นแล้ว
ซึ่งเราสามารถที่จะแก้ไขพฤติกรรมอันนี้ได้ไม่ยาก
ก่อนอื่นเราจะต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงตัวของเราเองให้ทำดี หรือหมั่นทำดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ
ความสัมพันธ์อันดี และความร่วมมือร่วมใจก็ย่อมเกิดขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งนี้อาจจะช้าหรือเร็วก็ได้
ถ้าคนเราสามารถทำได้ตามข้างต้นปัญหาต่างๆ อันมากมายก็ไม่เกิดขึ้น
เพราะคนเรามี "มนุษยสัมพันธ์" ที่อันดีต่อกันปัญหาต่างๆก็จะสามารถแก้ได้โดยไม่อยากเลยค่ะ..
ข้อมูลโดย : http://www.naewna.com
ที่มา : http://www.dmh.go.th
วิธีเริ่มต้นสร้างความเป็นมิตร และปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น
1. ก่อนที่คุณจะทำความรู้จักกับใครสักคนหนึ่ง
คุณควรจะทำความเข้าใจก่อนว่า คนที่คุณอยากทำความรู้จักด้วยนั้น เป็นคนประเภทไหน
หรือว่าเขามีลักษณะในการแสดงออกอย่างไร เช่น หากเขาเป็นคนขี้อาย แต่คุณเป็นคนพูดเก่ง
เวลาที่เขาพูดน้อย ก็อย่าไปใช้คำถามแบบว่า “จะเงียบอยู่ทำไมล่ะ”
ใช้วิธีชวนเขาคุยเรื่องอื่นๆ เพราะแน่นอนว่าจะต้องมีบ้างสักเรื่องที่เค้าให้ความสนใจ
ในทางตรงกันข้าม หากคุณเป็นคนขี้อายและพูดน้อย คุณควรหัดฝึกพูดกับตัวเองหน้ากระจกบ้าง ค่อยๆ ปรับตัว
พยายามพัฒนาการสื่อสาร ฝึกร้องเพลง ฝึกแสดงออกทางด้านอารมณ์ ดูหนังตลกๆ
เอาตัวเองไปใกล้ชิดกับคนที่พูดเยอะๆ ฝึกทักษะกำจัดความขี้อายบ่อยๆ
แล้วความขี้อายที่เกิดขึ้นในการสื่อสารของคุณก็จะค่อยๆ ลดลงไป
2. จำไว้ว่า แต่ละคนนั้น มีความแตกต่างในด้านการใช้ภาษาที่แตกต่างกันออกไป
บางคนชอบสื่อสารตรงประเด็น บางคนชอบสื่อสารให้สลับซับซ้อน บางคนแค่พูดตามที่ใจสั่งมา
บางคนชอบใช้สายตาในการแสดงความรู้สึก
สิ่งที่จะช่วยให้คุณโดดเด่นขึ้นมาได้นั้น ก็คือการเข้าใจธรรมชาติของคนที่กำลังสื่อสารอยู่ด้วย
หากเขาพูดมาง่ายๆ คุณก็ตอบไปง่ายๆ เขาชอบยิงมุขตลกๆ คุณก็ลองทำตลกๆ
หากเขาชอบพูดให้ดูซับซ้อน คุณก็ลองพูดให้ดูเหมือนลึกลับ
การไม่ยึดมั่นกับตัวตนของคุณเองมากนัก จะสามารถช่วยให้คุณปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ง่ายขึ้นจริงๆ
นี่ไม่ใช่การให้คุณเปลี่ยนตัวเองตามคนอื่น แต่เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่อยู่รอบตัว
3. หาเวลาว่าง และออกไปเตร็ดเตร่ในวันหยุด
การออกไปข้างนอกจะช่วยให้คุณสดชื่นขึ้นได้มาก ลองสังเกตเพื่อนร่วมงานของคุณว่าเขาไปที่ไหนกันบ้าง
เช่น คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่า มีเพื่อนในที่ทำงานเป็นคอหนังยุโรป
เพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นขาออกกำลังกาย ชอบไปฟิตเนส หรือไปออกกำลังกายตามสวนสาธารณะ
เพื่อนอีกคนหนึ่งชอบไปพักผ่อนตามสถานที่สวนสาธารณะ เป็นต้น
เพียงแค่คุณค่อยๆ แทรกตัวเองเข้าไปในเพื่อนๆ เหล่านี้ หาสิ่งที่ตัวคุณเอง และตัวเขามีความสนใจคล้ายๆ กัน
แล้วก็ใช้เวลาไปกับคนเหล่านั้น ถ้าคุณมีพลังงานมากหน่อย ก็ลองไปจอยกิจกรรมใหม่ๆ ที่คุณไม่เคยทำด้วยก็ยิ่งดี
การได้ทำกิจกรรมใหม่ๆ กับเพื่อนหลายๆ แบบ ช่วยให้คุณเรียนรู้ความแตกต่างของผู้คน
และเพิ่มทักษะให้กับคุณในการสร้างความเป็นมิตร และปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้
คำแนะนำเบื้องต้นเหล่านี้ ไม่ได้เป็นการสร้างภาพ คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตจริงๆ
เมื่อคุณสร้างมิตรเยอะ คุณก็จะได้มิตรเยอะ (เอ.. แล้วตกลงมันดียังไง)
เอาเป็นว่า หากใครเป็นคนอัธยาศัยดี หรือรู้ตัวว่าเป็นคนสร้างมิตรเก่ง
ก็ช่วยโพสต์ลงในคอมเม้นต์ เพื่อแบ่งปันเพื่อนมาชิกท่านอื่นๆ กันบ้างนะจ้า
ที่มา : http://www.naddate.com
ดูแลจิตใจวัยทำงาน
เมื่อก้าวเข้าสู่วัยทำงาน แน่นอนสิ่งที่ตามมาเหมือนเงาตามตัว คือความรับผิดชอบที่จะยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน
ส่งผลให้ความเครียดก่อร่างสร้างตัวขึ้นโดยที่บางคนไม่รู้ตัว ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมามากมาย
น.พ.อภิชัย มงคล รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เผยว่า คนที่อยู่ในวัยทำงาน
หากเกิดความเครียดจะส่งผลกระทบไปยังความสัมพันธ์ต่อบุคคลอื่น ทั้งเพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา
และส่งผลให้ไม่มีความสุขในการทำงาน และอาจส่งผลต่อเนื่องไปถึงการทำงานในอนาคต
เพราะความเครียดที่เกิดขึ้นจากการทำงาน ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว และไม่ทราบว่าขณะนั้นตัวเองเครียด
จึงพาลให้เกิดการกระทบกระทั่งกับคนรอบข้าง จนถึงทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมงาน
ความเครียดเป็นสิ่งที่รู้ตัวได้ยาก บางครั้งคนเราก็ไม่ยอมรับว่าตนเองกำลังอยู่ในภาวะเครียด
หากอยากทราบสภาวะจิตใจตนเอง ก็สามารถทำได้โดยใช้แบบประเมินเป็นตัววัด
ซึ่งสามารถหาได้จากเว็บไซต์กรมสุขภาพจิต http://www.dmp.go.th
เพื่อให้ดูระดับความเครียดที่เกิดขึ้นและหาทางแก้ไข
บางครั้งอาจต้องทำแบบประเมินความเครียด ควบคู่กับแบบประเมินภาวะซึมเศร้า
บางครั้งความเครียดที่สะสมอาจก่อตัวจนเกิดการป่วยทางใจ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข
หากจะสังเกตว่าตนเองเครียดหรือไม่
เริ่มแรกพิจารณาจากอาการทางกายในหลายๆ ระบบที่เกิดผลกระทบ เช่น หัวใจสั่น ใจเต้นแรง ความดันขึ้น
ปวดหัว ปวดท้อง ปวดไหล่ ปวดหลัง ส่วนอาการทางใจ เช่น หงุดหงิด โมโหง่าย หลงลืม ฉุนเฉียว โมโหง่าย
หลายคนต้องเข้าออกโรงพยาบาลโดยหาสาเหตุการเจ็บป่วยไม่พบ
เนื่องมาจากความเครียดที่เรื้อรังไม่ได้รับการดูแล จนส่งผลไปถึงระบบทางกาย
น.พ.อภิชัย แนะนำวิธีคลายเครียดว่า สิ่งแรกไม่ควรคลายเครียดด้วยการใช้แอลกอฮอล์
เพราะจะช่วยได้เพียงชั่วคราวและสร้างปัญหาในภายหลัง
กิจกรรมที่ควรทำเมื่อรู้สึกเครียดมีหลายรูปแบบ ควรเลือกตามที่ถนัดและทำแล้วเกิดความสุข
ทำกาย โดยการออกกำลัง ทำใจ คือการคิดในแง่บวกเมื่อเกิดปัญหา ทำสมาธิ โดยการทำจิตให้นิ่ง
และทำบุญ เพราะเมื่อช่วยเหลือคนอื่นที่มีความทุกข์ จะช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น
วิธีต่างๆ เหล่านี้ได้รับการทดลองและยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่า สามารถใช้ได้ผลจริง
หากทำแล้วไม่ได้ผลยังเกิดความเครียด และมีปัญหาในเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
น.พ.อภิชัย แนะว่าควรปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
เพราะความเครียดถือเป็นความเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง ซึ่งจะสร้างผลกระทบมากมาย
ข้อมูลโดย : http://www.matichon.co.th/khaosod/
ที่มา : http://www.dmh.go.th
ภาพจาก : http://www.fotosearch.com
ส่งผลให้ความเครียดก่อร่างสร้างตัวขึ้นโดยที่บางคนไม่รู้ตัว ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมามากมาย
น.พ.อภิชัย มงคล รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เผยว่า คนที่อยู่ในวัยทำงาน
หากเกิดความเครียดจะส่งผลกระทบไปยังความสัมพันธ์ต่อบุคคลอื่น ทั้งเพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา
และส่งผลให้ไม่มีความสุขในการทำงาน และอาจส่งผลต่อเนื่องไปถึงการทำงานในอนาคต
เพราะความเครียดที่เกิดขึ้นจากการทำงาน ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว และไม่ทราบว่าขณะนั้นตัวเองเครียด
จึงพาลให้เกิดการกระทบกระทั่งกับคนรอบข้าง จนถึงทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมงาน
ความเครียดเป็นสิ่งที่รู้ตัวได้ยาก บางครั้งคนเราก็ไม่ยอมรับว่าตนเองกำลังอยู่ในภาวะเครียด
หากอยากทราบสภาวะจิตใจตนเอง ก็สามารถทำได้โดยใช้แบบประเมินเป็นตัววัด
ซึ่งสามารถหาได้จากเว็บไซต์กรมสุขภาพจิต http://www.dmp.go.th
เพื่อให้ดูระดับความเครียดที่เกิดขึ้นและหาทางแก้ไข
บางครั้งอาจต้องทำแบบประเมินความเครียด ควบคู่กับแบบประเมินภาวะซึมเศร้า
บางครั้งความเครียดที่สะสมอาจก่อตัวจนเกิดการป่วยทางใจ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข
หากจะสังเกตว่าตนเองเครียดหรือไม่
เริ่มแรกพิจารณาจากอาการทางกายในหลายๆ ระบบที่เกิดผลกระทบ เช่น หัวใจสั่น ใจเต้นแรง ความดันขึ้น
ปวดหัว ปวดท้อง ปวดไหล่ ปวดหลัง ส่วนอาการทางใจ เช่น หงุดหงิด โมโหง่าย หลงลืม ฉุนเฉียว โมโหง่าย
หลายคนต้องเข้าออกโรงพยาบาลโดยหาสาเหตุการเจ็บป่วยไม่พบ
เนื่องมาจากความเครียดที่เรื้อรังไม่ได้รับการดูแล จนส่งผลไปถึงระบบทางกาย
น.พ.อภิชัย แนะนำวิธีคลายเครียดว่า สิ่งแรกไม่ควรคลายเครียดด้วยการใช้แอลกอฮอล์
เพราะจะช่วยได้เพียงชั่วคราวและสร้างปัญหาในภายหลัง
กิจกรรมที่ควรทำเมื่อรู้สึกเครียดมีหลายรูปแบบ ควรเลือกตามที่ถนัดและทำแล้วเกิดความสุข
ทำกาย โดยการออกกำลัง ทำใจ คือการคิดในแง่บวกเมื่อเกิดปัญหา ทำสมาธิ โดยการทำจิตให้นิ่ง
และทำบุญ เพราะเมื่อช่วยเหลือคนอื่นที่มีความทุกข์ จะช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น
วิธีต่างๆ เหล่านี้ได้รับการทดลองและยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่า สามารถใช้ได้ผลจริง
หากทำแล้วไม่ได้ผลยังเกิดความเครียด และมีปัญหาในเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
น.พ.อภิชัย แนะว่าควรปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
เพราะความเครียดถือเป็นความเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง ซึ่งจะสร้างผลกระทบมากมาย
ข้อมูลโดย : http://www.matichon.co.th/khaosod/
ที่มา : http://www.dmh.go.th
ภาพจาก : http://www.fotosearch.com
วิธีเพิ่มความสุขให้กับชีวิต แบบเรียบง่าย
ชีวิตของคุณอาจจะหงอยเหงาไปบ้าง ขาดความสนุกสนานไปบ้าง
หรือความสุขของคุณอาจจะกำลังลดลงเรื่อยๆ นี่คือคำแนะนำบางส่วนสำหรับเพิ่มความสุขให้กับชีวิต
1. คิดดี หรือคิดบวก
ยิ่งคุณเอาแต่บ่นกับชีวิตของตัวเอง คนรอบข้างของคุณก็จะเห็นบุคลิกนั้น
และคิดเอาเองว่าคุณเป็นคนประเภทน่าเบื่อ ทีนี้ก็จะไม่มีคนอยากใช้เวลากับคุณ เพราะเกรงว่าจะหมดสนุก
คุณสามารถเพิ่มทัศนคติที่ดีให้กับชีวิตตนเองได้ ด้วยการลองคบคนดีๆ หาเพื่อนดีๆ หรืออ่านหนังสือธรรมะ
ซึ่งจะช่วยเพิ่มมุมมองดีๆ ให้กับชีวิตคุณได้บ้าง
2. ใจดี มีเมตตา
ความใจดีของคุณเพียงเล็กน้อย จะส่งผลดีตามมาให้คุณในระยะยาว
คุณต้องเริ่มต้นเป็นผู้ให้ เพื่อที่จะได้กลายเป็นผู้รับ และคนรอบข้างก็จะมองว่าคุณเป็นคนจิตใจดี น่าคบหา
3. จดรายการสิ่งที่คุณต้องการทำ และลงมือทำ!
หากคุณต้องการหัดเล่นกีตาร์ ลุยเลย! ลงมือได้เลย! อย่ารอช้า เพราะคุณจะได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
หรือแม้แต่เรื่องยากๆ เช่น คุณต้องการสอบชิงทุน คุณก็น่าจะลองไปสอบดู..
แม้ว่าคุณอาจจะสอบไม่ผ่าน แต่ไม่มากก็น้อย คุณจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เพิ่มเติม
4. สู้ต่อไป ทาเคชิ!
กระบวนท่าสู่ความสำเร็จ คือ.. อย่าปล่อยให้ตัวเองหมดกำลังใจ
หากยามใดที่คุณรู้สึกท้อแท้ ให้กำลังใจตัวเอง และใส่ความพยายามลงไป และสิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมา
5. หยุดทำ สิ่งที่คุณรู้สึกไม่สนุก
เขียนสิ่งที่คุณทำแล้วไม่สนุก ออกมาเป็นข้อๆ และหาวิธีที่จะหยุดทำสิ่งเหล่านั้น
ตัวอย่างเช่น คุณรู้สึกเครียดมาก เช้า เที่ยง เย็น ก่อนนอน ก่อนตื่น (แม้ในฝัน) เกี่ยวกับเรื่องงาน
คุณก็ควรจะมองหางานใหม่ที่เหมาะกับคุณมากกว่า
แต่หากว่าเป็นเรื่องยากที่จะหางานใหม่ ก็ต้องกลับไปใส่ใจถึงแต่ด้านดีของงานที่คุณทำ
6. สนุกกับงานอดิเรก
ลองหากิจกรรมง่ายๆ ทำ อย่างเช่น ต่อจิ๊กซอว์ ปลูกต้นไม้
หรือลองทำอะไรที่ยากขึ้นไปอีกสักนิด เช่น เรียนและฝึกถ่ายภาพ ฝึกวาดรูป เรียนภาษาอังกฤษ
งานอดิเรกยามว่าง จะช่วยให้ชีวิตประจำวันของคุณไม่น่าเบื่อ และยังได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า
7. รู้สึกภูมิใจในตัวเอง
คุณอาจจะมีสิ่งที่สามารถทำได้ดี เช่น เล่นกีฬาเก่ง ทำอาหารเก่ง จัดบ้านเก่ง
ให้คุณรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่คุณมี และแบบคุณเป็น....
สิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ของการใช้ชีวิตก็คือ การรู้สึกภูมิใจในชีวิตของตนเอง
8. ใส่ใจในสุขภาพ
ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อช่วยให้ร่างกายของคุณมีความพร้อมในการที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ได้ดี
9. เปิดใจพร้อมที่จะเปลี่ยน
เมื่อพร้อมแล้วก็ค่อยๆ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองไปทีละนิด
เช่นรู้จักแบ่งเวลา และจัดลำดับความสำคัญให้กับชีวิตของตัวเอง เลือกคบเพื่อนที่ดี ใช้เวลากับครอบครัว
ค่อยๆ เริ่มปรับปรุงจนรู้สึกคุ้นเคย และสิ่งดีๆ สำหรับชีวิตก็จะเกิดขึ้นตามมา
ที่มา : http://www.naddate.com
หรือความสุขของคุณอาจจะกำลังลดลงเรื่อยๆ นี่คือคำแนะนำบางส่วนสำหรับเพิ่มความสุขให้กับชีวิต
1. คิดดี หรือคิดบวก
ยิ่งคุณเอาแต่บ่นกับชีวิตของตัวเอง คนรอบข้างของคุณก็จะเห็นบุคลิกนั้น
และคิดเอาเองว่าคุณเป็นคนประเภทน่าเบื่อ ทีนี้ก็จะไม่มีคนอยากใช้เวลากับคุณ เพราะเกรงว่าจะหมดสนุก
คุณสามารถเพิ่มทัศนคติที่ดีให้กับชีวิตตนเองได้ ด้วยการลองคบคนดีๆ หาเพื่อนดีๆ หรืออ่านหนังสือธรรมะ
ซึ่งจะช่วยเพิ่มมุมมองดีๆ ให้กับชีวิตคุณได้บ้าง
2. ใจดี มีเมตตา
ความใจดีของคุณเพียงเล็กน้อย จะส่งผลดีตามมาให้คุณในระยะยาว
คุณต้องเริ่มต้นเป็นผู้ให้ เพื่อที่จะได้กลายเป็นผู้รับ และคนรอบข้างก็จะมองว่าคุณเป็นคนจิตใจดี น่าคบหา
3. จดรายการสิ่งที่คุณต้องการทำ และลงมือทำ!
หากคุณต้องการหัดเล่นกีตาร์ ลุยเลย! ลงมือได้เลย! อย่ารอช้า เพราะคุณจะได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
หรือแม้แต่เรื่องยากๆ เช่น คุณต้องการสอบชิงทุน คุณก็น่าจะลองไปสอบดู..
แม้ว่าคุณอาจจะสอบไม่ผ่าน แต่ไม่มากก็น้อย คุณจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เพิ่มเติม
4. สู้ต่อไป ทาเคชิ!
กระบวนท่าสู่ความสำเร็จ คือ.. อย่าปล่อยให้ตัวเองหมดกำลังใจ
หากยามใดที่คุณรู้สึกท้อแท้ ให้กำลังใจตัวเอง และใส่ความพยายามลงไป และสิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมา
5. หยุดทำ สิ่งที่คุณรู้สึกไม่สนุก
เขียนสิ่งที่คุณทำแล้วไม่สนุก ออกมาเป็นข้อๆ และหาวิธีที่จะหยุดทำสิ่งเหล่านั้น
ตัวอย่างเช่น คุณรู้สึกเครียดมาก เช้า เที่ยง เย็น ก่อนนอน ก่อนตื่น (แม้ในฝัน) เกี่ยวกับเรื่องงาน
คุณก็ควรจะมองหางานใหม่ที่เหมาะกับคุณมากกว่า
แต่หากว่าเป็นเรื่องยากที่จะหางานใหม่ ก็ต้องกลับไปใส่ใจถึงแต่ด้านดีของงานที่คุณทำ
6. สนุกกับงานอดิเรก
ลองหากิจกรรมง่ายๆ ทำ อย่างเช่น ต่อจิ๊กซอว์ ปลูกต้นไม้
หรือลองทำอะไรที่ยากขึ้นไปอีกสักนิด เช่น เรียนและฝึกถ่ายภาพ ฝึกวาดรูป เรียนภาษาอังกฤษ
งานอดิเรกยามว่าง จะช่วยให้ชีวิตประจำวันของคุณไม่น่าเบื่อ และยังได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า
7. รู้สึกภูมิใจในตัวเอง
คุณอาจจะมีสิ่งที่สามารถทำได้ดี เช่น เล่นกีฬาเก่ง ทำอาหารเก่ง จัดบ้านเก่ง
ให้คุณรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่คุณมี และแบบคุณเป็น....
สิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ของการใช้ชีวิตก็คือ การรู้สึกภูมิใจในชีวิตของตนเอง
8. ใส่ใจในสุขภาพ
ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อช่วยให้ร่างกายของคุณมีความพร้อมในการที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ได้ดี
9. เปิดใจพร้อมที่จะเปลี่ยน
เมื่อพร้อมแล้วก็ค่อยๆ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองไปทีละนิด
เช่นรู้จักแบ่งเวลา และจัดลำดับความสำคัญให้กับชีวิตของตัวเอง เลือกคบเพื่อนที่ดี ใช้เวลากับครอบครัว
ค่อยๆ เริ่มปรับปรุงจนรู้สึกคุ้นเคย และสิ่งดีๆ สำหรับชีวิตก็จะเกิดขึ้นตามมา
ที่มา : http://www.naddate.com
กระโปรงสุดฮิต ไม่ตกเทรนด์
เดี๋ยวนี้กระโปรงสั้น เห็นจะมาแรงแซงหน้าแฟชั่นไหนๆ ในฤดูนี้
โดยเฉพาะกระโปรงสีสันสดใส หรือลายดอกไม้ ก็ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่ากันเลย
แต่ เอ? จะเลือกใส่กระโปรงแบบไหนดีน้า
วันนี้มีกระโปรงแต่ละแบบมาให้ดู รับรองเก๋อย่าบอกใคร เลือกใส่ตามความชอบได้เลยค่ะ
1. กระโปรงแนววินเทจ มีตั้งแต่แบบสั้น ไปจนถึงแบบยาวคลุมตาตุ่มเลยทีเดียว
แต่ขอแนะนำสาว ๆ หน่อยค่ะว่า หากจะใส่กระโปรงแนววินเทจแล้ว พยายามอย่าให้มีความยาวเกินหัวเข่านะคะ
เพราะจะดูแก่ไปค่ะ ส่วนเรื่องสีสันนั้น สีสันสดใสและลายจุดหรือลายดอก กำลังมาแรงเลยค่ะ
ดังนั้นลองจับกระโปรงแนววินเทจมาประยุกต์ใส่กับเสื้อสีพื้นเก๋ๆ ซักตัว กับเข็มขัดสีเด่นๆ หรือสายใหญ่ๆ ก็ได้
รับรองเก๋กู๊ดอย่าบอกใครเลยล่ะ
2. กระโปรงฝอย หรือกระโปรงที่ทำด้วยผ้าตัดเป็นเส้นๆ ฝอยๆ คล้ายกับที่นักบัลเล่ต์ใส่นั่นแหละค่ะ
เดี๋ยวนี้มีการปรับเป็นกระโปรงน่ารักๆ ให้เลือกมากมายแล้วนะคะ เรียกว่าเก๋ไปอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน
แถมยังทำให้คนใส่รู้สึกเบาสบายอีกด้วย อาจใส่กับเสื้อกล้าม หรือเสื้อยืดก็ได้ค่ะ รับรองไม่มีตกเทรนด์
3. กระโปรงบานเป็นชั้น ความน่ารักของกระโปรงแบบนี้อยู่ที่ลูกเล่นที่มีชั้นลดหลั่นกันลงไป
ทำให้การแต่งตัวของคุณดูไม่เรียบไปไม่ว่าคุณจะใส่กับเสื้อสีพื้นๆ ก็ตามทีค่ะ
อ๊ะๆ แต่ขอแนะนำว่ากระโปรงแบบนี้ไม่ควรยาวถึงเข่านะคะ
ควรให้สั้นเหนือเข่าขึ้นมานิดหน่อย น่ารักมากๆ เลยล่ะค่ะ
เอาล่ะค่ะ คราวนี้ก็พอจะรู้แล้วว่ากระโปรงในแบบที่ใช่และเข้ากับคุณนั้น เป็นยังไง
เพราะฉะนั้นอย่ารอช้า รีบไปหากระโปรงแนวๆ ซักตัวมามิกซ์แอนด์แมทช์ให้เข้ากับสไตล์คุณเลยดีกว่าค่ะ
ที่มา : http://women.kapook.com
โดยเฉพาะกระโปรงสีสันสดใส หรือลายดอกไม้ ก็ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่ากันเลย
แต่ เอ? จะเลือกใส่กระโปรงแบบไหนดีน้า
วันนี้มีกระโปรงแต่ละแบบมาให้ดู รับรองเก๋อย่าบอกใคร เลือกใส่ตามความชอบได้เลยค่ะ
1. กระโปรงแนววินเทจ มีตั้งแต่แบบสั้น ไปจนถึงแบบยาวคลุมตาตุ่มเลยทีเดียว
แต่ขอแนะนำสาว ๆ หน่อยค่ะว่า หากจะใส่กระโปรงแนววินเทจแล้ว พยายามอย่าให้มีความยาวเกินหัวเข่านะคะ
เพราะจะดูแก่ไปค่ะ ส่วนเรื่องสีสันนั้น สีสันสดใสและลายจุดหรือลายดอก กำลังมาแรงเลยค่ะ
ดังนั้นลองจับกระโปรงแนววินเทจมาประยุกต์ใส่กับเสื้อสีพื้นเก๋ๆ ซักตัว กับเข็มขัดสีเด่นๆ หรือสายใหญ่ๆ ก็ได้
รับรองเก๋กู๊ดอย่าบอกใครเลยล่ะ
2. กระโปรงฝอย หรือกระโปรงที่ทำด้วยผ้าตัดเป็นเส้นๆ ฝอยๆ คล้ายกับที่นักบัลเล่ต์ใส่นั่นแหละค่ะ
เดี๋ยวนี้มีการปรับเป็นกระโปรงน่ารักๆ ให้เลือกมากมายแล้วนะคะ เรียกว่าเก๋ไปอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน
แถมยังทำให้คนใส่รู้สึกเบาสบายอีกด้วย อาจใส่กับเสื้อกล้าม หรือเสื้อยืดก็ได้ค่ะ รับรองไม่มีตกเทรนด์
3. กระโปรงบานเป็นชั้น ความน่ารักของกระโปรงแบบนี้อยู่ที่ลูกเล่นที่มีชั้นลดหลั่นกันลงไป
ทำให้การแต่งตัวของคุณดูไม่เรียบไปไม่ว่าคุณจะใส่กับเสื้อสีพื้นๆ ก็ตามทีค่ะ
อ๊ะๆ แต่ขอแนะนำว่ากระโปรงแบบนี้ไม่ควรยาวถึงเข่านะคะ
ควรให้สั้นเหนือเข่าขึ้นมานิดหน่อย น่ารักมากๆ เลยล่ะค่ะ
เอาล่ะค่ะ คราวนี้ก็พอจะรู้แล้วว่ากระโปรงในแบบที่ใช่และเข้ากับคุณนั้น เป็นยังไง
เพราะฉะนั้นอย่ารอช้า รีบไปหากระโปรงแนวๆ ซักตัวมามิกซ์แอนด์แมทช์ให้เข้ากับสไตล์คุณเลยดีกว่าค่ะ
ที่มา : http://women.kapook.com
กางเกงทำงาน ใส่ให้ดูดี
ปัจจุบันนี้ต้องบอกกันตรงๆ ว่าแฟชั่นกางเกงนั้น มีให้เลือกซื้อใส่กันมากมาย
เพราะแฟชั่นกางเกง ช่วยให้ผู้สวมใส่มีความสะดวกสบายคล่องตัว
แม้ในวันทำงานแฟชั่นกางเกงจึงไม่เคยตกยุค แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป
แฟชั่นกางเกงรูปแบบใหม่ก็ยังคงมีมาให้อัพเดทอยู่ตลอดเวลา แต่การจะสวมใส่กางเกงในวันทำงาน
นอกจากจะทำให้ดูสบายตา สุภาพ และคล่องตัวแล้ว รูปทรงของกางเกงและรูปร่างของผู้สวมใส่นั้น
มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะถ้าหากกางเกงสวยดูดี แต่ไม่เหมาะสมกับรูปร่างของเรา
ก็อาจจะทำให้ชุดเก่งของคุณดูธรรมดา หรืออาจจะขัดหูขัดตาคุณไปเลยก็ได้
เลือกใส่กางเกงอย่างไรให้รูปร่างดูดีเข้ากับสาววัยทำงาน
ส่วนใหญ่แล้ว สาวที่มีสะโพกใหญ่มักจะไม่มีความมั่นใจในการใส่กางเกงหรือเลือกเสื้อผ้า
ในทางที่ดีควรเลือกกางเกงขาบานแบบบู๊ทคัท เพราะจะมีช่วงสะโพกที่กว้างกว่าปกติ
ให้ความสำคัญกับกระเป๋าหลังที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติแต่ไม่มากจนเกินไป
เลือกเอวต่ำที่ใหญ่กว่าปกติ เพราะจะทำให้มีพื้นที่ด้านหลังเพิ่มมากขึ้น
เวลาเลือกซื้อกางเกง ขอให้เลือกผ้าที่มีความยืดหยุ่นได้เล็กน้อย จะมีความพอดีกับรูปร่างโดยไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด
และควรเลือกกางเกงที่มีรอยจีบบนกระเป๋า เพื่อช่วยพรางบริเวณสะโพกสำหรับสาววัยทำงาน
ซึ่งจะช่วยให้คุณดูมีรูปร่างเพรียวลง และแถมยังดูคล่องตัวมากขึ้นอีกด้วย
ทางที่ดีหากคุณจะเลือกกางเกงใส่ไปทำงาน คุณไม่ควรจะเลือกที่เป็นทรงรัด หรือแนบเนื้อจนเกินไป
เพราะนอกจากจะทำให้ดูไม่เหมาะสมแล้ว จากที่คุณคิดว่าจะช่วยทำให้คุณดูดีและเพรียวลง
กลับกลายเป็นเน้นให้เห็นชัดมากยิ่งขึ้นว่าคุณเป็นคนเจ้าเนื้อแค่ไหน
อีกทั้งยังทำให้คุณอึดอัดง่าย เหงื่อออกง่าย
เพราะนอกจากอากาศจะร้อนแล้ว ร่างกายของคุณยังต้องโดนรัดแน่นจากเจ้ากางเกงตัวเก่งของคุณ
อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง แทนที่วันนี้คุณจะดูดี กลับกลายเป็นคนที่ดูขาดความมั่นใจไปเลยก็ว่าได้
เมื่อได้เคล็ดลับในการเลือกกางเกง ให้เหมาะสมกับรูปร่างของตัวเองแล้ว
ควรคำนึงถึงกาลเทศะและความเหมาะสมในการสวมใส่กางเกง สำหรับใส่ในการทำงานด้วย
โดยเฉพาะสาวๆ ออฟฟิศ ที่นิยมนุ่งยีนส์ไปทำงานไม่ควรนุ่งยีนส์เอวต่ำจนเห็นหน้าท้อง
หรือแม้แต่กางเกงยีนส์ที่คับฟิตจนเกินไป
ถ้าเป็นไปได้ หากคุณเป็นคนที่ต้องทำงานในออฟฟิศ ก็ไม่ควรเลือกใส่กางเกงยีนส์เข้าสำนักงานจะดีกว่า
เพราะนอกจากจะทำให้คุณดูไม่สุภาพแล้ว อาจทำให้คุณอึดอัด โดยเฉพาะเวลาที่ต้องนั่งทำงานบนเก้าอี้นานๆ
แต่ถ้าหากสาวๆ ท่านไหนที่ชอบทำงานนอกสถานที่
ต้องการความทะมัดทะแมง ก็ควรเลือกกางเกงยีนส์ที่เป็นผ้าฝ้าย
เพราะนอกจากจะทำให้คุณไม่อึดอัดแล้ว ยังทำให้คุณเคลื่อนไหวได้สะดวกมากขึ้นด้วย
ที่สำคัญไม่ว่าคุณจะเป็นสาววัยทำงานแบบไหนก็ตาม ขอให้คุณตั้งใจทุกครั้งกับสิ่งที่ทำอยู่
มั่นใจได้เลยว่าความก้าวหน้าอนาคตการทำงานของคุณ อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน
เรียบเรียงโดย : Nat
ข้อมูลจาก http://women.kapook.com
ขอขอบคุณภาพประกอบ Paksuay.com
กระโปรงบาน Full Skirts มิกซ์แอนด์แมชให้สวยเก๋
Trend ซีซั่นใหม่ปีนี้ ใครจะเชื่อว่าจะต้องยกตำแหน่งให้กระโปรงบาน
แต่ว่าความสดใสของมันเมื่อ mix & match กับสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ จะทำให้คุณเก๋ไม่เหมือนใคร
* ใส่คู่กับรองเท้าส้นสูง แน่นอนว่ากระโปรงบานไม่เหมาะกับรองเท้าทรงบัลเลต์หรือส้นแบน
เพราะจะยิ่งทำให้คุณดูขาสั้นและตัวเตี้ยมากกว่าเดิม
* กระโปรงบานเอวสูงสีเข้ม สามารถแมตช์กับเสื้อผ้าได้ง่ายกว่าสีหวานๆ
* ลองใส่รองเท้าบู๊ตคัตหนังคู่กับกระโปรงบานลายลูกไม้ แล้วสวมทับด้วยสูทอีกชั้น ทำให้คุณดูเซ็กซี่น่าค้นหา
* ปล่อยให้กระโปรงสีแจ่มเป็นผู้บรรยายความสนุกของการแต่งตัว
แล้วใส่คู่กับเสื้อยืดสีดำเรียบๆ สักตัวก็ทำให้วันนี้คุณดูเด่นขึ้นทันที
* เลือกแมตช์กระโปรงบานสีสันกับเสื้อตัวบนที่มีเท็กซ์เจอร์
ทำให้ดูสะดุดตามากกว่าแต่งตัวเป็นหญิงหวานแบบเฟมินิน
ที่มา : http://www.lisaguru.com
แต่ว่าความสดใสของมันเมื่อ mix & match กับสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ จะทำให้คุณเก๋ไม่เหมือนใคร
* ใส่คู่กับรองเท้าส้นสูง แน่นอนว่ากระโปรงบานไม่เหมาะกับรองเท้าทรงบัลเลต์หรือส้นแบน
เพราะจะยิ่งทำให้คุณดูขาสั้นและตัวเตี้ยมากกว่าเดิม
* กระโปรงบานเอวสูงสีเข้ม สามารถแมตช์กับเสื้อผ้าได้ง่ายกว่าสีหวานๆ
* ลองใส่รองเท้าบู๊ตคัตหนังคู่กับกระโปรงบานลายลูกไม้ แล้วสวมทับด้วยสูทอีกชั้น ทำให้คุณดูเซ็กซี่น่าค้นหา
* ปล่อยให้กระโปรงสีแจ่มเป็นผู้บรรยายความสนุกของการแต่งตัว
แล้วใส่คู่กับเสื้อยืดสีดำเรียบๆ สักตัวก็ทำให้วันนี้คุณดูเด่นขึ้นทันที
* เลือกแมตช์กระโปรงบานสีสันกับเสื้อตัวบนที่มีเท็กซ์เจอร์
ทำให้ดูสะดุดตามากกว่าแต่งตัวเป็นหญิงหวานแบบเฟมินิน
ที่มา : http://www.lisaguru.com
รวม กระเป๋า ดาราสาวๆ ในวงการบันเทิง
วันนี้ รวบรวมภาพ กระเป๋าสะพาย กระเป๋าถือ กระเป๋าแบรนด์เนม
สารพัดกระเป๋าที่พวกสาวๆ ดาราเค้าใช้กัน มาให้ดูกันเพลินๆ
เป็นไอเดียในการแม็ตท์กระเป๋ากับเสื้อผ้าให้สาวๆ ได้นะจ๊ะ มาดูกันเลยค่ะ
เก๋ ชลลดากับกระเป๋าสีขาวและสีเขียวอ่อน
กระเป๋าสีเขียวและกระเป๋าสไตล์เท่ห์ๆ ของ แอน ทองประสม
กระเป๋าสีทองใบเล็ก และสีดำแซมชมพูใบใหญ่ของ คริส หอวัง
แพนเค้กกับกระเป๋าสีเหลือง และตุ๊กตา อินทิรา กับกระเป๋าสีแดง
กระเป๋าสีเขียวของ แอฟ ทักษอร และเบเบ้ กับกระเป๋าสีน้ำตาลเข้ม
ป๊อก ปิยธิดา กับกระเป๋าสีดำ และวุ้นเส้น กับกระเป๋าสีเดียวกันกับชุด
แก้มบุ๋ม กับกระเป๋าที่สีแม็ตท์กับเสื้อ และจิ๊บ ปกฉัตร กับกระเป๋าหนังสีดำ
กระเป๋าสีขาวของ ได๋ ไดอาน่า และ พัดชา กับกระเป๋าใบเล็กน่ารักๆ ของเธอ
อั้ม พัชราภา กับกระเป๋าเขียวและสีส้ม
ก้อย รัชวิน กับกระเป๋าสีขาวและสีส้ม ลายน่ารัก
กระเป๋าใบโตของ นาตาลี เดวิท และกระเป๋าสีเงินของ แนต เอวิตา
นุ่น วรนุช กับกระเป๋าสีส้มสดใส
ปิดท้ายด้วย ขวัญ อุษามณี
เดรสลายดอกสดใสรับซัมเมอร์ เรียบๆ แสนหวาน แมตช์กับรองเท้าและกระเป๋าสีครีม
แต่งหน้าเบาๆ ทำผมเรียบง่าย ออกงานหรือเดินช็อปปิ้งก็ปิ๊งได้ไม่แพ้กัน
ข้อมูลโดย :
http://women.mthai.com
http://www.siamdara.com
สารพัดกระเป๋าที่พวกสาวๆ ดาราเค้าใช้กัน มาให้ดูกันเพลินๆ
เป็นไอเดียในการแม็ตท์กระเป๋ากับเสื้อผ้าให้สาวๆ ได้นะจ๊ะ มาดูกันเลยค่ะ
เก๋ ชลลดากับกระเป๋าสีขาวและสีเขียวอ่อน
กระเป๋าสีเขียวและกระเป๋าสไตล์เท่ห์ๆ ของ แอน ทองประสม
กระเป๋าสีทองใบเล็ก และสีดำแซมชมพูใบใหญ่ของ คริส หอวัง
แพนเค้กกับกระเป๋าสีเหลือง และตุ๊กตา อินทิรา กับกระเป๋าสีแดง
กระเป๋าสีเขียวของ แอฟ ทักษอร และเบเบ้ กับกระเป๋าสีน้ำตาลเข้ม
ป๊อก ปิยธิดา กับกระเป๋าสีดำ และวุ้นเส้น กับกระเป๋าสีเดียวกันกับชุด
แก้มบุ๋ม กับกระเป๋าที่สีแม็ตท์กับเสื้อ และจิ๊บ ปกฉัตร กับกระเป๋าหนังสีดำ
กระเป๋าสีขาวของ ได๋ ไดอาน่า และ พัดชา กับกระเป๋าใบเล็กน่ารักๆ ของเธอ
อั้ม พัชราภา กับกระเป๋าเขียวและสีส้ม
ก้อย รัชวิน กับกระเป๋าสีขาวและสีส้ม ลายน่ารัก
กระเป๋าใบโตของ นาตาลี เดวิท และกระเป๋าสีเงินของ แนต เอวิตา
นุ่น วรนุช กับกระเป๋าสีส้มสดใส
ปิดท้ายด้วย ขวัญ อุษามณี
เดรสลายดอกสดใสรับซัมเมอร์ เรียบๆ แสนหวาน แมตช์กับรองเท้าและกระเป๋าสีครีม
แต่งหน้าเบาๆ ทำผมเรียบง่าย ออกงานหรือเดินช็อปปิ้งก็ปิ๊งได้ไม่แพ้กัน
ข้อมูลโดย :
http://women.mthai.com
http://www.siamdara.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)