วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

พูดจาแบบมีเสน่ห์

โบราณเคยบอก "พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย"
หลายคนมาแผลงเป็น "พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะมีสี"
จะยึดคำกล่าวไหนก็ได้ค่ะ เพราะหัวใจสำคัญอยู่ที่การ "พูดให้ดี"

ทำไมต้องพูดให้ดี...
เพราะการพูดให้ดีนั้น ฟังแล้ว "เข้าหู" ชวนฟัง ชวนให้คล้อยตาม
ชวนให้รู้สึกประทับใจและก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ ตามมาได้อีกมากมาย

การพูดเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตค่ะ เพราะตลอดทั้งชีวิต เราต้องอาศัยการพูดเป็นการสื่อสารที่สำคัญ

พูดไม่เป็น
พูดไม่เข้าหูคน
หรือพูดแล้วคนอยากพาไป"ผ่า...ออกจากปาก" อย่างที่เขาล้อ ๆ กันนั้น
ท่าทางชีวิตจะย่ำแย่ ดังนั้น มาเรียนรู้การพูดการจาให้เป็นสง่าราศีแก่ชีวิตดีกว่าค่ะ

1. คนจะพูดดีได้ ต้องเริ่มจากคิดดี
ไม่มีประโยชน์ ที่เราจะเริ่มต้นจากการคิดร้าย
แม้กับคนที่เราไม่ถูกชะตาด้วยที่สุด ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องพูดจาไม่ดีกับเขา

การคิดดี ถือเป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ เป็นพื้นฐานของจิตใจที่ดีงาม
ใครก็ตามที่รู้จักคิดดี เขาก็จะเห็นแง่งามของโลกของชีวิต ของตนเอง และของผู้อื่น
เมื่อเห็นแง่งาม หรือแง่ดีของสิ่งต่าง ๆ เขาก็ย่อมมีทัศนคติที่ดี
มีท่าทีที่ดี และเมื่อต้องพูดจากเสวนากัน เขาก็ย่อมพูดจาดี

การพูดจาดี
ไม่เพียงแต่สะท้อนการให้เกียรติ และเคารพในตัวคนอื่น
แต่ยังสะท้อนการให้เกียรติและเคารพตนเองอีกด้วย
คนจะพูดจาดีได้ต้องรับการอบรมมาดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี

ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่า บุคลิกภาพดี ๆ เริ่มต้นที่ครอบครัว การพูดจาดีก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องเริ่มจากในบ้าน
พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างของคนที่พูดจาดี ๆ ต่อกัน ต้องเป็นผู้ชี้แนะคุณค่าของการพูดดี

พูดดี ในที่นี้หมายความว่า อะไร

หมายความว่า
พูดเพราะ
พูดคำสุภาพ
มีน้ำเสียงที่สุภาพ
มีหางเสียงครับ ค่ะ จ๊ะ จ้ะ
เพื่อแสดงความมีมารยาท
มีไมตรีจิต
ไม่พูดคำหยาบ
ไม่ใส่ร้าย
ไม่ตะคอกตะเบ็งใส่กัน
ไม่ประชดประชัน
ไม่โกหกพกลม

คนจะพูดดีเช่นนี้ได้ จะคิดร้ายอยู่ในใจไม่ได้แน่นอน
เพราะความร้ายกาจในใจจะเผยมาทางคำพูด น้ำเสียง แววตา หรือท่าทีขณะที่พูดได้
จึงจำเป็นต้องฝึกตนให้เป็นคน คิดดี


2. พูดถูกกาลเทศะ
ไม่ใช่ตลอดเวลาหรอกค่ะ ที่คนเราจะพูดได้ ต้องมีบ้างบางขณะที่เราหยุดพูด เพื่อเป็นผู้ฟังคนอื่นพูดบ้าง

คนบางคน ถูกตั้งข้อสังเกตว่า "ผีเจาะปากมาพูด" คือ พูด ๆๆๆๆ ฟังไม่เป็น ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นพูด
ทำตัวเป็นผู้รู้ไปหมดทุกเรื่อง จึงพูดอยู่ตลอดเวลาคนแบบนี้น่ารำคาญ จริงไหมคะ

อย่าทำตัวน่ารำคาญ ด้วยการพูดจาไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ดูวาระ และโอกาส
คนพูดเป็นจะรู้ว่าโอกาสไหน ควรพูด โอกาสไหนควรฟัง
และโอกาสไหน ควรวางเฉย
คนที่รู้จักพูดเขาจะดูสถานที่ และเลือกวิธีพูดจาให้เหมาะสมกับผู้ฟัง และสถานที่

ผู้ฟังที่อาวุโสกว่าเรา เราต้องพูดด้วยท่าที และน้ำเสียงอย่างหนึ่ง
เป็นเพื่อนกัน ก็พูดอย่างหนึ่ง
เป็นน้องเป็นนุ่งเรา ก็ต้องพูดอีกแบบหนึ่ง
พูดในที่ประชุม จะเหมือนพูดในกลุ่มเพื่อนไม่ได้
พูดคุยกับเพื่อน ก็อย่าทำตัวน่าเบื่อ เหมือนบรรยายวิชาการ
การปรับตัว หรือพลิกแพลงตามสถานการณ์ที่ต่างกันไปเหล่านี้ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้


หลักการพูดให้ถูกกาลเทศะทำได้ง่าย ๆ คือ
ดูว่าเราต้องพูดในหัวข้อไหน
เรื่องอะไร
พูดที่ไหน
ใครฟัง
ผู้ฟังกี่คน
ฟังกันในที่เปิดเผยหรือในห้องจำกัด
พูดสั้น หรือพูดยาว
จริงจัง หรือกันเอง
ใครอ่านสถานการณ์ออก เตรียมตัวพร้อม ก็สามารถพูดจาได้น่าจดจำตามวาระ และโอกาสนั้น ๆ ได้เสมอ


3. พูดมีเนื้อหาสาระ
ห้ามพูดเรื่อยเปื่อย ไม่ว่าจะคุยกันกับเพื่อน ผู้ร่วมงานพ่อแม่ หรือพูดในที่ประชุม หรือที่สาธารณะ
ก็ต้องมีเป้าหมายในการพูด พูดอย่างมีสาระ
มีขอบเขตชัดเจนว่า ต้องการสื่อสารเรื่องอะไร หรือต้องการจะบอกกับผู้ฟังว่าอะไร


4. พูดจาให้น่าฟัง
น้ำเสียงที่กังวานแจ่มใส ดังพอประมาณ พูดจาฉะฉานชัดเจน จะดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังได้มาก
การพูด ในบางครั้งต้องพูดปากเปล่า แต่บ่อยครั้งก็ต้องพูดผ่านไมโครโฟน

หากมีโอกาส ให้ฝึกฝนเรื่องการใช้เสียงอย่างเหมาะสม ทั้งแบบปากเปล่า และผ่านไมโครโฟนได้
ก็ควรทำ เพราะการพูดผ่านไมโครโฟนนั้น ต้องมีระยะใกล้ไกลระหว่างปากกับไมโครโฟนที่พอเหมาะ
เสียงจึงจะชัดเจน ไม่มีเสียงเสียดแทรก จนผู้ฟังรู้สึกไม่สบายหู หรือรำคาญ


5. พูดให้เกิดความรู้สึกร่วม

วิธีการง่าย ๆ คือ
สบตากับผู้ฟังอย่างทั่วถึง ตั้งคำถามในขณะพูด แล้วค่อย ๆ อธิบายเพื่อนำไปสู่คำตอบ
สอบถามผู้ฟังบ้าง ในบางหัวข้อที่ง่าย ๆ หรือเป็นเรื่องของประสบการณ์
เป็นเรื่องของความคิดเห็น ที่ไม่ใช่เรื่องซึ่งเมื่อตอบแล้ว อาจถูก หรือผิด

ผู้พูด จำเป็นต้องรู้พื้นภูมิของผู้ฟังบ้าง
เพื่อพูดในภาษาที่เขาเข้าใจง่าย บางครั้งการพูดด้วยสำเนียงท้องถิ่นก็ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดี รู้สึกเป็นกันเอง
อย่าพูดไทยผสมกับภาษาต่างประเทศ โดยไม่อธิบาย เลือกใช้ภาษาต่างประเทศเท่าที่จำเป็น เท่านั้น

และยกตัวอย่างที่คาดว่าผู้ฟังน่าจะมีประสบการณ์ร่วม อย่ายกตัวอย่างไกลตัว

การพูดเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนเรา
เป็นภาพฟ้องอุปนิสัยใจคอ จึงไม่อาจพูดจาเรื่อยเปื่อย ไร้จุดหมาย ไร้การระมัดระวังได้

การพูด นำมาซึ่งมิตรและศัตรู
แต่ก็นั่นแหละ เราเลือกได้นี่คะว่าจะพูดให้ได้เพื่อน หรือพูดให้ได้ศัตรู

การพูดทำให้คนเราดูดี หรือดูแย่ได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราเลือกอะไร

ที่มา เครือข่ายสุขภาพเพื่อประชาชน

5 ประโยคที่ดีที่สุดในการเริ่มการสนทนาเมื่อเข้าสังคม

การพยายามแนะนำตัวเองต่อคนแปลกหน้าอาจเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก ก็ถ้าคุณไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลย
แล้วคุณจะหาเรื่องอะไรมาคุย? คุณจะเริ่มการสนทนาอย่างน่าสนใจกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้อย่างไร?

การพยายามแนะนำตัวเองต่อคนแปลกหน้า อาจเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก
ก็ถ้าคุณไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลย แล้วคุณจะหาเรื่องอะไรมาคุย?
คุณจะเริ่มการสนทนาอย่างน่าสนใจกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้อย่างไร?
ประโยคต่อไปนี้คือ “ประโยคที่ดีที่สุดที่คุณสามารถนำไปใช้ได้

หาสิ่งที่คุณและเขามีร่วมกัน
ถึงแม้คุณจะคิดว่าคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนนั้นเลย แต่จริงๆ แล้วคุณรู้มากกว่าที่คุณคิด
ก็คุณและเขาอยู่ในห้องเดียวกันนี่หนึ่งละ
ดังนั้น คุณสามารถถามเขาได้ว่า “So what brings you here?”
หรือสมมุติว่า คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้ของ Bob เพื่อนคุณ
คุณสามารถถามคนๆ นั้นว่า “How do you know Bob?”


ชมเขา
คนเราทุกคนต่างก็พอใจที่จะได้ยินสิ่งดีๆ เกี่ยวกับตัวเองทั้งนั้น
“What a wonderful dress you’re wearing!”
หรือบอกเขาว่า คุณชอบรองเท้าของเธอ หรือแว่นตาของเขามาก เป็นต้น
หลังจากนั้น ถ้าคู่สนทนาของคุณไม่กล่าวอะไรต่อมากไปกว่าคำว่า “thank you,”
คุณสามารถถามต่อไปว่า “Where did you get it?” หรือ “What’s it made out of?”
หรือแม้แต่ “Was it expensive?”
คำถามเหล่านี้ ดีตรงที่มันเป็นการเปิดโอกาสให้คนๆ นั้น บอกเล่าสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเองให้คุณฟัง


ถามคำถามเกี่ยวกับเขา
คนส่วนใหญ่ต่างก็มีการมีงานทำกันทั้งนั้น ฉะนั้นคุณสามารถถามเขาว่า “So what do you do for a living?”
หรือคุณอาจถามไปว่า “Where are you from originally?” ซึ่งหมายถึงคุณต้องการรู้ว่าเขาเกิดที่ไหน
คำถามเป็นสิ่งที่ช่วยให้การสนทนาเป็นไปได้ง่ายขึ้น ถ้าคู่สนทนาของคุณเป็นคนสุภาพ เขาจะถามคุณกลับ
ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้คุณพูดเกี่ยวกับตัวคุณเองด้วย


แนะนำตัวเอง
อย่างเพียงแค่กล่าวว่า “Hi, my name is John.” ให้เติมรายละเอียดเข้าไปด้วย เช่น
“Hi, my name is John. I’m a friend of Bob’s from high school. We use to have the same math class together.”
นี่เป็นวิธีดึงความสนใจจากคู่สนทนา และกระตุ้นให้เขาถามเกี่ยวกับคุณ
หรือเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาเอง ให้คุณทราบเป็นการสนองกลับ


แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบางอย่าง
คุณไม่จำเป็นต้องถามเขาเป็นการส่วนตัว แต่คุณสามารถดึงความสนใจจากเขาโดยการกล่าวลอยๆ อย่างเช่น
“This is a great party” หรือ “What a lovely house this is.” ถึงแม้ว่างานปาร์ตี้หรือบ้านหลังนี้จะไม่ใช่ของเขา
แต่ประโยคข้างต้นเป็นหัวข้อง่ายๆ ที่ดีในการเปิดโอกาสให้คนแสดงความคิดเห็นของเขา
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ประโยคที่ดีที่สุดเหล่านี้ใช้ได้ดี
เพราะคุณและคนแปลกหน้านี้มีบางสิ่งร่วมกัน นั่นก็คือพวกคุณกำลังคุยกันยังไงล่ะ

ที่มา http://www.rism.ac.th

9 เคล็ดลับ จับใจคน

"ถ้าคุณรู้สึกงุนงงว่าตัวเองนั้นมีใครชอบหรือเกลียดหรือไม่ในขณะนี้ คุณลองอ่าน
9 เคล็ดลับนี้ดูดีไหม "

วัยรุ่นและหนุ่มสาวหลายคนขอร้องให้เขียนเรื่อง "ทำอย่างไรให้ใครๆ ชอบ"
ก่อนจะเขียนเรื่องนี้ ก็จะต้องตกลงกันให้เข้าใจเสียแต่ต้นว่า
คำว่า "ชอบ" กับ "รัก" ในภาษาไทยไม่ใช่คำเดียวกัน แต่เรามักใช้ผิดหรือปนเปกันไปหมด

"ชอบ" แปลว่า พอใจ...ก็เท่านั้นเอง ยังไม่ลึกซึ้งเข้าไปถึงหัวใจ
เราชอบกินแกงต้มยำ ไม่ได้แปลว่า เรารักแกงต้มยำ

เราชอบส้วมแบบนั่งชักโครก (คือไม่ชอบส้วมแบบนั่งยองๆ) ก็ไม่ได้แปลว่า เรารักส้วมแบบชักโครก

แต่เรารักต้นไม้ได้ เพราะคนรักต้นไม้จะเอาใจใส่ ทะนุบำรุง ดูแล ห่วงใย และอยากปกป้องคุ้มครอง
พูดสั้นๆ ถาเรารักอะไร เราเอาหัวใจทั้งดวงไปผูกพันกับสิ่งนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าใครมาบอกคุณว่า เขาชอบคุณ ก็แปลว่า เขาอยู่แค่ชั้นพอใจคุณเท่านั้น
อย่าคิดเลยเถิดเข้าข้างตัวเองว่า เขาจะเอาหัวใจทั้งดวงของเขามาผูกพันกับคุณ
แต่เพื่อนนี่ชอบกันถ้าได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ก็จะกลายเป็นเพื่อนรักกันตลอดไปได้

จะเขียนเรื่องชอบอย่างเพื่อนก่อน
วัยรุ่นไม่ชอบอะไรเยิ่นเย้อ ก็จะให้ข้อแนะนำทันทีเลยว่า ทำอย่างไรจะให้คนชอบคุณอย่างเพื่อน

1. ทำตัวเป็นธรรมชาติ
คนเราไม่ชอบคนเสแสร้ง คนเราไม่ชอบคนดัดจริตหรือคนวางท่า
คนเราไม่ชอบคนวางท่าเป็นดารากับเพื่อน ความเป็นเพื่อนต้องการความจริงใจ
คนวางท่าหยิ่ง หรือจีบปากจีบคอพูดเราไม่ชอบคนดัดจริต หรือคนวางท่า
คนเราไม่ชอบคนวางท่าเป็นดารากับเพื่อน อาจดึงดูดความสนใจชั่วขณะแรกพบกัน
แต่รับรองว่าไม่กี่ครั้ง เขาก็จะเบื่อและรำคาญ หรือถ้าเป็นเพื่อนเพศเดียวกัน เขาก็จะหมั่นไส้ไม่ชอบหน้า


2. สนใจฟังเขา ไม่พูดแต่เรื่องของตัวเอง
คนเป็นเพื่อนกันก็ต้องคุยเรื่องของตนเองให้เพื่อนฟังบ้าง
แต่ต้องมีการแลกเปลี่ยนและสนใจเรื่องของเขา มากกว่าพูดแต่เรื่องของตัวเอง


3. อารมณ์ดี
คนเราไม่ชอบเข้าใกล้คนหงุดหงิด ขี้โมโห ฉุนเฉียว ยิ่งก้าวร้าวด้วยละก็นั่งเหงาไปคนเดียวเถอะ
ถ้าคุณอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอๆ ต้องหาสาเหตุแล้วแก้ไข มิฉะนั้น คุณจะพบว่า คุณมีเพื่อนน้อยลงๆ
เพราะเขาค่อยๆ ตีตัวออกห่างไปทีละคนสองคน เพื่อไปหาคนอารมณ์ดี ที่เขาอยู่ใกล้แล้วสบายใจ


4. รู้จัก "ให้" และ "รับ"

การให้และรับไม่ได้หมายความเฉพาะวัตถุ การช่วยเหลือเวลาเขามีความทุกข์
การช่วยเหลือการงานหรือการเรียน ฯลฯ ของเขาก็ถือเป็นการให้ เป็นการให้ที่มีค่ามากด้วยซ้ำไป
ที่แนะนำให้รู้จัก "รับ" ด้วยนั้น ก็เพราะผู้เขียนเห็นมามาก พอที่จะกล้ากล่าวว่า
คนจิตใจปกติมักไม่ชอบคนที่ไม่ยอมรับอะไรจากใครเลย คนเราไม่ชอบคนที่ทำให้เรารู้สึกละอายใจ


5. มองโลกในแง่ดี
ถ้าคุณเห็นดอกไม้สวย เห็นเด็กๆ น่ารัก เห็นเพื่อนบางคนเก่ง เห็นครูบางคนดี
ถ้าคุณมองทะลุสิวเขรอะของเพื่อนเข้าไปเห็นความร่าเริง และความมีน้ำใจของเขา
ถ้าคุณพูดยกย่องความดีความสามารถของใครๆ มากกว่าพูดตำหนิ หรือนินทาเขา
ใครๆ ก็จะอยากเข้าใกล้คุณ อยากคุยกับคุณ อยากเป็นเพื่อนของคุณ
ฝึกตนเองให้มองโลกในแง่ดีแล้วมันจะติดเป็นนิสัยคุณไปตลอดชีวิต
คนอยู่ใกล้ก็เป็นสุข แล้วจะถ่ายทอดไปถึงลูกหลานของคุณด้วย


6. อย่าบ่น อย่าบึ้ง อย่าเบ่ง อย่าเบี้ยว
บอก ต่างกับ บ่น เพราะว่าบอกคือ พูดสั้นๆ ไม่ใส่อารมณ์ และพูดหนเดียวพอ คนเราไม่ชอบฟังแผ่นเสียงตกร่อง
เบี้ยว คือ ไม่รับผิดชอบหน้าที่ ไม่ทำตามสัญญา ขอยืมแล้วไม่ใช้ ฯลฯ
นอกจากเขาจะไม่ชอบแล้ว เขาจะดูถูกและเมินหนีอีกด้วย

ธรรมชาติมนุษย์ชอบเข้าใกล้คนหน้าตายิ้มแย้ม ทักทาย
ทักเพื่อนก่อนได้กำไร เหมือนเปิดประตูเชิญให้เขาวิสาสะด้วย ถ้าทักเขาก่อนแล้วเขาไม่ทักตอบก็อย่าเสียใจ
เขาอาจจะไม่เห็น อาจจะกำลังใจลอยคิดอะไรเพลินอยู่
หรือเขาอาจจะเป็นคนไม่มีมารยาท คุณยังอยากจะเสียเวลากับคนไม่มีมารยาทอยู่อีกหรือ?
บ่น คนรำคาญ
บึ้ง คนหนี
เบ่ง คนหมั่นไส้
เบี้ยว คนรังเกียจ


7. อย่านินทา
อย่าเอาคำว่า นินทา ไปปนกับคำวิจารณ์
นินทา เป็น พฤติกรรมทำลาย วิจารณ์ เป็น พฤติกรรมสร้างสรรค์ เพราะการวิจารณ์คือการพูดถึงข้อดีข้อเสีย
โดยใช้เหตุผลและไม่ใช้อารมณ์ การวิจารณ์ให้ประโยชน์ แต่การนินทาให้แต่โทษอย่างเดียว


8. อย่าชวนทำชั่ว
คนดีๆ ไม่ชอบคนที่มาฉุดให้เขาลงไปสู่ที่ต่ำ เช่น ลักขโมย สารเสพติด เที่ยวเตร่ดึกดื่น ฯลฯ
จะมีก็แต่พวกบุคลิกภาพผิดปกติชนิดอันธพาลหรืออาชญากรเท่านั้นที่ชอบ
เพราะฉะนั้น ถ้าชวนคนดีๆ ทำชั่ว เขาจะรังเกียจและตีตนออกห่างทันที


9. ดูแลร่างกายให้น่าเข้าใกล้
คนผมไม่สระ เสื้อผ้าไม่ซักส่งกลิ่น ปากเหม็น กลิ่นตัวคลุ้ง จะนิสัยดีแค่ไหน เพื่อนก็ไม่อยากเข้าไปคุยด้วย เดินด้วย
และอย่าลืมว่า กลิ่นน้ำหอมฉุนๆ ก็ร้ายพอๆ กับกลิ่นตัว ไม่ใส่น้ำหอมเลยยังจะดีกว่า คนเราชอบกลิ่นรื่นรมย์


หลังจากปฏิบัติทุกข้อข้างต้นครบถ้วนแล้ว คุณก็มีอีกข้อหนึ่งต้องทำคือ
ต้องทำใจยอมรับความจริงอย่างหนึ่งของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ความจริงที่ว่านั่นก็คือ ตั้งแต่มีการสร้างโลกกันมา ยังไม่เคยมีใครสักคนเดียวที่จะทำให้ทุกคนในโลกชอบได้...
ไม่มีจริงๆ ความคิดที่อยากจะให้ทุกคนในโลกชอบคุณ จึงเป็นความคิด ที่ไม่มีวันจะเป็นจริงขึ้นมาได้
ไม่ว่าคุณจะทุ่มกาย ทุ่มใจ ทุ่มเงินแค่ไหน ไปสืบดูเถิด เจ้าบุญทุ่มทุกคนยังไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบเขาได้
ไม่เคยมีนางงามจักรวาลโลกคนไหนสามารถทำให้ทุกคนชอบเธอได้

เพราะฉะนั้น ถ้าคุณทำดีที่สุดของคุณแล้วก็จงพอใจ จงบอกตัวเองแล้วจดจำไว้สอนลูกหลานด้วยว่า
ไม่มีใครในโลกจะทำให้ทุกคนในโลกชอบตนได้...ไม่มีจริงๆ


อย่างไรก็ตามคุณอย่าทิ้งความเป็นตัวของคุณเอง อย่าพยายามทำตัวให้ใครๆ ชอบเสียจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
เพราะนั่นก็เป็นข้อหนึ่งที่จะทำให้คนไม่ชอบคุณ

เริ่มลงมือปฏิบัติตามข้อแนะนำเสียแต่วันนี้คุณจะพบว่า นอกจากคุณจะมีเพื่อนชอบคุณมากขึ้นแล้ว
คุณเองก็จะมีสุขภาพจิตดีขึ้นเสมอ เพราะทุกๆ ข้อที่กล่าวไว้เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะทำให้คนเราสุขภาพจิตดี

โดย พญ.สุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา

ทำอย่างไรไม่ให้ถูกชักจูงง่าย

โลกเราทุกวันนี้ มีข่าวของการหลอกลวง ชักจูงไปในทางไม่ดีอยู่เรื่อย
บ้านเราเองก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำมิได้ขาด ตั้งแต่หลอกให้ลุ่มหลงในลัทธิศาสนา และไสยศาสตร์
จนถึงการต้มตุ๋นหลอกเอาเงินทองไปครั้งละมากๆ แทบไม่น่าเชื่อว่ายุคนี้ยังมีแชร์ลูกโซ่เกิดขึ้น
และยังมีคนหลงเอาเงินไปให้เขาอีก พวกมิจฉาชีพที่ตกทองเอาของปลอมไปแลกของจริงก็ยังหากินอยู่ได้

สิ่งที่มีอิทธิพลในการโน้มน้าวชักจูง ให้คนเชื่อในทิศทางที่อาจไม่ตรงความเป็นจริงนัก
ได้แก่ การโฆษณา ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนเราเป็นอย่างมาก

การโฆษณาสินค้า มีอิทธิพลต่อความเชื่อของคน ให้เกิดการซึมซาบเข้าไปในจิตไร้สำนึก
ว่าสินค้าที่โฆษณานั้นมีคุณสมบัติดีจริง ใช้แล้วจะโก้เก๋
หรือมีคุณลักษณะเหมือนนายแบบนางแบบ ที่เขาจ้างมาเป็นผู้นำเสนอนั้น

ความจริงแล้ว บุคคลที่รับจ้างโฆษณานั้น บางทีมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือใช้สินค้าชนิดนั้นแต่อย่างใด
บางคนไปโฆษณาสุราทั้งที่ไม่เคยดื่มสุราเลยก็มี
นางแบบที่โฆษณายาสระผม บางทีก็ไม่เคยใช้ยาสระผม ชนิดนั้นเลย
และเส้นผมของเขาก็ไม่ได้สวยงามดำเป็นมันอย่างที่เห็นในหนังโฆษณา

นางงามที่กองประกวดพยายามสร้างภาพให้เข้าใจว่าสวยที่สุดในประเทศ สวยที่สุดในโลก
หรือสวยที่สุดในจักรวาลนั้น ความจริงแล้วมิได้สวยไปกว่าผู้หญิงอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ที่ไม่ได้เข้าประกวด
แต่การสร้างภาพก็ได้ผลในการล่อจระเข้หนุ่มจระเข้เฒ่าทั้งหลายให้หลงใหล น้ำลายสอ
จนต้องทุ่มเทกันอย่างสุดเหวี่ยง

ผลของการโฆษณาและการสร้างภาพ ทำให้พฤติกรรมในการบริโภคของคนในสังคม
เป็นไปในทิศทางที่เขาพยายามโน้มน้าวให้เป็น

สินค้าหลายชนิดขายดิบขายดีเพราะอิทธิพลของการโฆษณา นาฬิกาข้อมือถูกเปลี่ยนไปเป็นเครื่องประดับ
แทนที่จะเป็นเครื่องบอกเวลา จึงต้องซื้อหากันในราคาแพงเกินจำเป็น
รถยนต์ถูกใช้เป็นเครื่องบ่งบอกฐานะหรือชนชั้น แทนที่จะใช้เป็นยานพาหนะ
จึงทำให้ยอดขายรถยนต์ราคาแพงไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมากนัก

รถชนิดขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นที่นิยมกันมากในประเทศเรา เพราะเชื่อกันว่า เป็นของดีที่ใครๆ ก็ใช้กัน
และเป็นสมัยนิยม พอซื้อมาแล้วก็ขับกันอยู่แต่ในเมือง
ไม่เคยได้ใช้ประโยชน์จากการขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ต้องจ่ายเงินไปเลยกลายเป็นความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ

สาเหตุที่ทำให้คนเราถูกชักนำให้เชื่อและมีพฤติกรรมตามความเชื่อนั้น
เกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่างทั้งภายในและภายนอกบุคคลนั้น ตัวอย่างเช่น

1. บุคลิกภาพ
ผู้ที่มีบุคลิกภาพอ่อนแอ ขาดความมั่นคง ไม่เป็นตัวของตัวเอง
มีความต้องการพึ่งพิงผู้อื่นสูง มีโอกาสถูกชักจูงได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

2. การขาดเอกลักษณ์แห่งตน (identity)
ผู้ที่ขาดเอกลักษณ์ไม่มีจุดยืน ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ขาดหลักการ ไม่สามารถใช้เหตุผล
มีแนวโน้มจะถูกชักจูงให้ทำตามหรือลอกเลียนแบบผู้อื่น ได้ง่ายกว่าคนที่มีเอกลักษณ์

3. วัย
วัยเด็กเป็นวัยที่มีโอกาสถูกชักจูงโน้มน้าวให้เชื่อและทำตามบุคคลที่ใกล้ชิด
หรือมีความสำคัญในชีวิตได้ง่ายกว่าวัยผู้ใหญ่
ส่วนวัยรุ่นมักได้รับอิทธิพลจากเพื่อนมากที่สุด เพราะมีความต้องการการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนมากกว่าวัยอื่น

4. การขาดความรู้และขาดประสบการณ์
ผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา หรือผู้มีโอกาส แต่ขาดความสนใจในการแสวงหาความรู้
ย่อมมีโอกาสถูกชักนำให้หลงผิดได้ง่ายกว่า คนมีความรู้และประสบการณ์

5. กิเลส
ความโลภ บางครั้งทำให้คนถูกหลอกได้ง่ายขึ้น
พวกมิจฉาชีพจึงสามารถใช้อุบาย ตกทองหากินมาได้จนถึงปัจจุบัน แชร์ลูกโซ่ก็ไม่มีวันหมดไปจากประเทศนี้

6. ความเอนเอียงที่จะเชื่อในสิ่งนั้น
คนที่อยากได้ผู้วิเศษมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไว้ เป็นที่พึ่งกราบไหว้บูชา
มีแนวโน้มจะถูกผู้อวดอ้างว่ามีคุณสมบัติดังกล่าวหลอกได้ง่าย

7. สถานการณ์และสิ่งแวดล้อม
ในภาวะที่บ้านเมืองมีเหตุการณ์ไม่สงบ จิตใจของประชาชนระส่ำระสาย การเชื่อถือข่าวลือมักเกิดขึ้นได้ง่าย


การป้องกันแก้ไข ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง หรือชักนำไปในทางที่ผิด
ต้องเริ่มต้นตั้งแต่การเลี้ยงดูเด็ก ให้มีพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่ถูกต้องเหมาะสม

เด็กควรได้รับการส่งเสริมให้มีพัฒนาการทางความคิดที่เป็นอิสระ มีการใช้เหตุผล รู้จักไตร่ตรอง
มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่พึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป มีเอกลักษณ์ของตนเอง มีจุดยืนที่มั่นคง
และมีเป้าหมายในชีวิตที่สมเหตุผล

สิ่งเหล่านี้ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ตั้งแต่เล็กจนใหญ่ อย่างสม่ำเสมอ มิใช่สามารถสร้างได้ ในระยะเวลาอันสั้น
จะมาเข้ารับการอบรมหลักสูตรพัฒนาบุคลิกภาพตอนโต ก็ไม่ค่อยได้ผล ไม่เหมือนสร้างมาตั้งแต่เล็กๆ

การรณรงค์ให้เด็ก และวัยรุ่นไม่ถูกชักนำจากเพื่อนหรือบุคคลอื่นให้ตกเป็นทาสยาเสพติด
เขาจึงใช้คำขวัญว่า "Just say no" เป็นการสอนให้รู้จักปฏิเสธและเป็นตัวของตัวเองไม่ต้องไปตามอย่างใคร
หรือเกรงใจใครในเรื่องที่ไม่สมควร

ประชาชนทั่วไปควรพัฒนาตนเองให้มีความรอบรู้ ด้วยการอ่านหนังสือที่มีประโยชน์
ติดตามข่าวสารบ้านเมืองที่มีสาระ อย่าสนใจแต่เพียงความบันเทิง

การมีข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ร่วมกับการใช้สติปัญญาไตร่ตรองในเรื่องต่างๆ
จะช่วยให้ไม่ถูกชักนำไปในทางงมงาย หรือตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่ประสงค์ดีต่อเรา

หากพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ด้วยเหตุผล ก็จะเกิดความระมัดระวังและรอบคอบในการเชื่อสิ่งต่างๆ
ไม่หลงเชื่อคำโฆษณา หรือการหลอกลวงผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งการติดต่อทางตรง

ถ้าใช้วิจารณญาณให้ดี อาจคิดได้ว่า สินค้าที่โฆษณามากๆ นั้น
ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระ ค่าโฆษณาไว้ในต้นทุนด้วย

อันที่จริงพระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้เป็นอย่างดีแล้วว่า อะไรไม่ควรเชื่อ และอะไรควรเชื่อ
การปฏิบัติตามธรรมของศาสนาที่ใช้ปัญญาและสติเป็นที่ตั้งย่อมเป็นหนทางไปสู่การดับทุกข์
ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับการสร้างเสริมสุขภาพจิต

โดย นพ.เกษม ตันติผลาชีวะ

ฝึกสมอง...ให้เป็นคนเก่ง

อย่าทำงานซ้ำซ้อนในเวลาเดียวกันเพราะเกิดการผิดพลาดได้ง่าย
นอกจากนี้ การแข่งขันยังช่วยกระตุ้นสมองให้โลดแล่นอีกด้วย

"การฝึกฝนทำให้คุณเป็นคนเก่ง" นี่คือคำกล่าวของนัก Neuroscientist ชาว สวีเดน โทร์เคล คลิงเบิร์ก ว่า
คนเราควรทำอย่างไรให้ได้ข้อมูลและมีความเข้าใจมากที่สุดโดยที่เราไม่ต้อง ใช้สมองเกินกำลัง
หรือไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย เนื่องจากสมองทำงานอย่างมีประสิทธิมากที่สุดในระยะเวลาที่จำกัด
แต่เราก็มีวิธีที่จะใช้ศูนย์ความคิดของเราให้มีประโยชน์มากที่สุด เช่นกัน


คุณกำลังเดินทางไปพบปะพูดคุยธุรกิจ
และระหว่างทางก็ครุ่นคิดวิธีการเจรจาตกลง ต่างๆ โทรศัพท์หรือเขียนจดหมาย
แต่การทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกันมีความเสี่ยงกับความผิดพลาดในการส่งอีเมล์ผิดให้กับคู่ เจรจา
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำ ให้ทำงานหรือจัดการธุระใดๆ ก็ตามให้เป็นไปตามลำดับ
อย่าทำงานหลายอย่างในคราวเดียวกัน เพื่อป้องกันความผิดพลาด


สัญชาตญาณบอกคุณได้ดีกว่าสมอง
ในแต่ละวันเรามีเรื่องต้องตัดสินใจประมาณ 20,000 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องในชั่วพริบตา
และคนเป็นจำนวนมากที่ตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว เช่น การทักทายและการออกความเห็นในที่ประชุม
โดยเฉพาะ คนที่ทำงานในออฟฟิศ มีเงื่อนไขของเวลาเป็นแรงกดดันในการตัดสินใจ
นักจิตวิทยาจึงแนะนำ ให้ฟังเสียงความรู้สึกของตัวเองหรือสัญชาติญาณ ซึ่งเรานำไปใช้โดยไม่รู้ตัว
ซึ่งก็ทำให้มีทางเลือกที่เร็วกว่าและดีกว่าในการตัดสินใจแบบสายฟ้าแลบ
เนื่องจากการตัดสินใจแบบในชั่วพริบตาจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์
แต่ในกรณีที่คุณต้องตัดสินใจเรื่องที่ไม่เชี่ยวชาญก็ควรปรึกษาและขอความเห็น จากผู้ใหญ่ที่มีความรู้
และประสบการณ์จะดีกว่า


กลิ่นกาแฟช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง
จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพราะมีงานด่วน ยังรู้สึกงัวเงีย สมองยังไม่แล่นเพราะนาฬิกาชีวิตยังปรับไม่ทัน
ความจำเป็นของคุณต้องการสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ กาแฟสักหนึ่งถ้วย
ลำพังกลิ่นกาแฟในตอนเช้าก็มีผลกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว นี่คือผลการศึกษาจากนักวิจัยชาวญี่ปุ่น
เพึ่อนร่วมงานของคุณก็คงยินดีที่จะได้กาแฟสักหนึ่งถ้วยจากคุณและคุณก็ยังได้ สูดกลิ่นกาแฟไปด้วย


การแข่งขันกระตุ้นสมอง
ถ้าเรารู้ว่า เราต้องแข่งขันกับใครสักคน มันจะกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปทั่วในบริเวณสมองหรือที่เรียกกันว่า
"ศูนย์รับรางวัล" เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอนน์ ในประเทศเยอรมนีโดยการให้อาสาสมัครแข่งขันกัน
หากใครพิมพ์ถูกจะได้รางวัล 120 ยูโร และมีการแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของสมองจากภาพสแกน
ผลก็คือ มีเลือดไหลเวียนสูงสุดที่ศูนย์รางวัลของผู้เข้าแข่งขันระหว่างตอบคำถาม


สมาธิเพิ่มเมื่อมีงาน
เสียงโทรศัพท์ ผู้ร่วมงานหัวเราะ มีอีเมล์ที่ต้องตอบ งานหลายๆ อย่างประเดประดังเข้ามา
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าคุณจะตั้งสมาธิได้ ทั้งนี้ นักจิตวิทยาชาวอังกฤษพบว่า
การมีสมาธิขึ้นอยู่กับงานยากหรือง่าย หากเป็นงานง่ายๆ ก็ขึ้นอยู่กับคุณที่จะคุมสมาธิตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน
หากเป็นงานยาก สมองจะมีสมาธิกับงานอย่างอัตโนมัติ แต่ถ้าเมึ่อไหร่ที่คุณมีอารมณ์เศร้า
ก็อย่าจมปลักกับงานที่ทำประจำเพราะมันอันตรายกับสมองในการใช้งานเกินกำลัง
คุณควรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บ้าง
เพราะมีการพิสูจน์มาแล้วว่า โครงสร้างสมองของผู้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้เรียนสิ่งใหม่ๆ
และกระบวนการเรียนรู้ทุกอย่างจะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมองหรือทำให้แข็งแรง ขึ้น
และยังก่อให้เกิดเซลล์ใหม่ๆ ด้วย ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ


สมองทำงานเหมือน Google
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียตั้งข้อสันนิษฐานว่า เมื่อคนคิดถึงคำ
ศูนย์ความคิดของเราจะทำหน้าที่คล้ายๆ กับ Google คือ คิดตามลำดับ เช่น 1 2 3


สมองต้องออกกำลัง
แม้เราจะไม่ค่อยได้บริหารสมองด้วยการคำนวณหรือทายปริศนาอักษรไขว้ เราก็สามารถช่วยให้สมองฟิตได้
เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ชี้ให้เห็นว่า
การมีสังคมกับผู้คนสามารถช่วยให้สมองตื่นตัวได้เหมือนการบริหารสมอง

ที่มา Lisa

ฝึกสมอง...ให้เป็นคนเก่ง

อย่าทำงานซ้ำซ้อนในเวลาเดียวกันเพราะเกิดการผิดพลาดได้ง่าย
นอกจากนี้ การแข่งขันยังช่วยกระตุ้นสมองให้โลดแล่นอีกด้วย

"การฝึกฝนทำให้คุณเป็นคนเก่ง" นี่คือคำกล่าวของนัก Neuroscientist ชาว สวีเดน โทร์เคล คลิงเบิร์ก ว่า
คนเราควรทำอย่างไรให้ได้ข้อมูลและมีความเข้าใจมากที่สุดโดยที่เราไม่ต้อง ใช้สมองเกินกำลัง
หรือไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย เนื่องจากสมองทำงานอย่างมีประสิทธิมากที่สุดในระยะเวลาที่จำกัด
แต่เราก็มีวิธีที่จะใช้ศูนย์ความคิดของเราให้มีประโยชน์มากที่สุด เช่นกัน


คุณกำลังเดินทางไปพบปะพูดคุยธุรกิจ
และระหว่างทางก็ครุ่นคิดวิธีการเจรจาตกลง ต่างๆ โทรศัพท์หรือเขียนจดหมาย
แต่การทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกันมีความเสี่ยงกับความผิดพลาดในการส่งอีเมล์ผิดให้กับคู่ เจรจา
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำ ให้ทำงานหรือจัดการธุระใดๆ ก็ตามให้เป็นไปตามลำดับ
อย่าทำงานหลายอย่างในคราวเดียวกัน เพื่อป้องกันความผิดพลาด


สัญชาตญาณบอกคุณได้ดีกว่าสมอง
ในแต่ละวันเรามีเรื่องต้องตัดสินใจประมาณ 20,000 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องในชั่วพริบตา
และคนเป็นจำนวนมากที่ตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว เช่น การทักทายและการออกความเห็นในที่ประชุม
โดยเฉพาะ คนที่ทำงานในออฟฟิศ มีเงื่อนไขของเวลาเป็นแรงกดดันในการตัดสินใจ
นักจิตวิทยาจึงแนะนำ ให้ฟังเสียงความรู้สึกของตัวเองหรือสัญชาติญาณ ซึ่งเรานำไปใช้โดยไม่รู้ตัว
ซึ่งก็ทำให้มีทางเลือกที่เร็วกว่าและดีกว่าในการตัดสินใจแบบสายฟ้าแลบ
เนื่องจากการตัดสินใจแบบในชั่วพริบตาจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์
แต่ในกรณีที่คุณต้องตัดสินใจเรื่องที่ไม่เชี่ยวชาญก็ควรปรึกษาและขอความเห็น จากผู้ใหญ่ที่มีความรู้
และประสบการณ์จะดีกว่า


กลิ่นกาแฟช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง
จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพราะมีงานด่วน ยังรู้สึกงัวเงีย สมองยังไม่แล่นเพราะนาฬิกาชีวิตยังปรับไม่ทัน
ความจำเป็นของคุณต้องการสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ กาแฟสักหนึ่งถ้วย
ลำพังกลิ่นกาแฟในตอนเช้าก็มีผลกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว นี่คือผลการศึกษาจากนักวิจัยชาวญี่ปุ่น
เพึ่อนร่วมงานของคุณก็คงยินดีที่จะได้กาแฟสักหนึ่งถ้วยจากคุณและคุณก็ยังได้ สูดกลิ่นกาแฟไปด้วย


การแข่งขันกระตุ้นสมอง
ถ้าเรารู้ว่า เราต้องแข่งขันกับใครสักคน มันจะกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปทั่วในบริเวณสมองหรือที่เรียกกันว่า
"ศูนย์รับรางวัล" เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอนน์ ในประเทศเยอรมนีโดยการให้อาสาสมัครแข่งขันกัน
หากใครพิมพ์ถูกจะได้รางวัล 120 ยูโร และมีการแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาของสมองจากภาพสแกน
ผลก็คือ มีเลือดไหลเวียนสูงสุดที่ศูนย์รางวัลของผู้เข้าแข่งขันระหว่างตอบคำถาม


สมาธิเพิ่มเมื่อมีงาน
เสียงโทรศัพท์ ผู้ร่วมงานหัวเราะ มีอีเมล์ที่ต้องตอบ งานหลายๆ อย่างประเดประดังเข้ามา
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าคุณจะตั้งสมาธิได้ ทั้งนี้ นักจิตวิทยาชาวอังกฤษพบว่า
การมีสมาธิขึ้นอยู่กับงานยากหรือง่าย หากเป็นงานง่ายๆ ก็ขึ้นอยู่กับคุณที่จะคุมสมาธิตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน
หากเป็นงานยาก สมองจะมีสมาธิกับงานอย่างอัตโนมัติ แต่ถ้าเมึ่อไหร่ที่คุณมีอารมณ์เศร้า
ก็อย่าจมปลักกับงานที่ทำประจำเพราะมันอันตรายกับสมองในการใช้งานเกินกำลัง
คุณควรเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บ้าง
เพราะมีการพิสูจน์มาแล้วว่า โครงสร้างสมองของผู้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้เรียนสิ่งใหม่ๆ
และกระบวนการเรียนรู้ทุกอย่างจะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมองหรือทำให้แข็งแรง ขึ้น
และยังก่อให้เกิดเซลล์ใหม่ๆ ด้วย ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ


สมองทำงานเหมือน Google
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียตั้งข้อสันนิษฐานว่า เมื่อคนคิดถึงคำ
ศูนย์ความคิดของเราจะทำหน้าที่คล้ายๆ กับ Google คือ คิดตามลำดับ เช่น 1 2 3


สมองต้องออกกำลัง
แม้เราจะไม่ค่อยได้บริหารสมองด้วยการคำนวณหรือทายปริศนาอักษรไขว้ เราก็สามารถช่วยให้สมองฟิตได้
เพราะจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ชี้ให้เห็นว่า
การมีสังคมกับผู้คนสามารถช่วยให้สมองตื่นตัวได้เหมือนการบริหารสมอง

ที่มา Lisa

เทคนิคการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์